Pages

Saturday 31 December 2011

HARBS

สวัสดีค่ะ ครั้งนี้ขอรายงานสดส่งตรงจากนาโงยาอย่างที่พีเค้าเกริ่นเอาไว้ในโพสท์ที่แล้วนะคะ

วันนี้มีนัดกับเพื่อนชาวนาโงยาไป meet & eat ที่ร้าน HARBS ทีแรกเพื่อนให้พิมมิยะเป็นคนเลือกร้านเอง ไอ้เราก็เลยจัดร้านนี้ไปค่ะ เนื่องจากมีเพื่อนคนไทยที่ชอบเค้กของร้านนี้แนะนำว่าต้องไปลองให้ได้นะ ประกอบกับร้านนี้เค้ามีสาขาแรกอยู่ที่นาโงยา ก็คือสาขาที่จะนำเสนอนี่แหละค่ะ แถมยังไปกับคนนาโงยาอีก อิอิ.. เหตุผลเยอะขนาดนี้ จะพลาดร้านนี้ได้ไงล่ะคะ


สาขาแม่ของร้านนี้อยู่แถว Sakae เยื้องๆกับ Nagoya TV Tower


มองออกไปนอกร้าน ฝั่งตรงข้ามคือ Central Park


มองจากด้านนอกตรงบันไดทางขึ้นร้าน


เค้กน่าทานหลายอย่างเลย


เมนูก็ทำซะน่ารัก

พิมมิยะจัดหนักค่ะวันนี้ ออร์เดอร์ไป 2 ชิ้น จนเพื่อนมองหน้า ถามว่า จะกินหมดเรอะ!!

พนักงานเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟก่อน ของพิมมิยะเป็น Royal milk tea กลิ่นชาเข้มข้นมาก แถมน้ำแข็งที่ใช้ยังเป็นนมแช่แข็งซะอีก พิถีพิถันจริงๆ ต่อให้ละลายยังไงก็ยังหอมมัน เริ่ดมากๆค่ะ มาแบบเวอร์ชั่นไม่ผสมน้ำตาลเลย แต่มีไซรัปให้เราเติมตามความชอบ


เค้กมาแล้วค่ะ มาแบบห่อฟอยล์มาเลย ไม่มีพลาสติกหุ้มรอบๆอีกชั้น พอแกะแล้วแอบเละ ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเลย แง้~


Mille crepe เมนูขายดีอันดับ 1 ของร้าน อารมณ์เครปเค้กนั่นแะค่ะ แต่สอดไส้ระหว่างชั้นด้วยสตรอว์เบอร์รี่ กีวี เมลอน แล้วก็กล้วย โดยส่วนตัวชอบที่แป้งเครปบางและนุ่ม ส่วนครีมก็หอมมัน ไม่หวานมาก เสียตรงที่รสชาติยังไม่จัดจ้านถึงใจเท่าไหร่ค่ะ แต่ก็เป็นสไตล์ที่คนญี่ปุ่นเค้าชอบกัน คือไม่นิยมรสหวาน เค็ม หรือเปรี้ยวจนเกินไป


ต้องชิ้นนี้ต่างหากล่ะคะ อร่อยสุดๆเหนือคำบรรยาย Queen of cake แค่ชื่อก็สุดยอดแล้ว ในรูปพลาดทำเค้กเละไปหน่อยตอนแกะฟอยล์ค่ะ แหะๆๆ เพื่อนอ่านเมนูแล้วบอกว่าเป็นเมนูพิเศษเฉพาะสาขาแม่เท่านั้นนะ โห..ยิ่งฟังยิ่งอยากลอง พอตักคำแรกเข้าปากปุ๊บ อู้หู.. สมชื่อเค้าจริงๆเลยค่ะ แป้งเค้กเบาๆนุ่มๆผสมเหล้าอะไรซักอย่าง แป้งไม่หนามากด้วย ครีมก็หอมๆเบาๆ หวานน้อย แต่ที่ได้ใจพิมมิยะไปทั้งดวงคือสตรอว์เบอร์รี่ค่ะ ลูกใหญ่มว้ากกกก หวานด้วยหอมด้วย ทางร้านใส่น้องสตรอว์มาแบบไม่มีกั๊กเลยค่ะ แต่ก็สมราคา 1,200 เยนแล้วแหละนะ ^^" เป็นหนึ่งในเค้กที่อร่อยที่สุดที่พิมมิยะเคยทานมาเลย


ส่วนคุณเพื่อนสั่งชิ้นโปรดของเค้า Marron tart (ทาร์ทเกาลัด) แอบผสมเหล้านิดๆเหมือนกัน (มิน่าล่ะคุณเธอถึงได้ชอบ ฮ่าๆ) ชิ้นนี้ก็ไม่หวานมาก มีรสเกาลัดมันๆ อร่อยดีค่ะ ที่จริงร้านเค้ามี Marron cake ด้วย เห็นเพื่อนสั่งใส่กล่องไปฝากที่บ้าน แปลว่าน่าจะอร่อยเอาการอยู่


ร้านนี้ยังมีเคาน์เตอร์สำหรับซื้อกลับบ้านที่ห้าง JR Nagoya Takashimaya ด้วยนะคะ พิมมิยะเลยหอบ Banana cream tart มาสำเร็จโทษเป็นอาหารเช้าที่โรงแรมด้วย เพราะเมนูนี้ไม่มีที่ร้านตอนที่ไปทานกับเพื่อน


ขิ้นนี้ก็อร่อยอีกแล้วค่ะ ไม่หวานมากเกินไป ครีมก็หอมมันเหมือนเคย ที่สำคัญเค้าใส่กล้วยมาให้เต็มที่ เท่าที่แอบนับดู ทั้งชิ้นมีกล้วยเกินลูกนึงแน่ๆ ไม่ผิดหวังเลยค่ะ :D


นอกจากขนมแล้ว ร้านนี้ยังมีพวกอาหารประเภทพาสต้า สลัด และแซนด์วิชให้เลือกรับประทานด้วย สนใจเชิญชมที่เว็บไซต์ HARBS ได้ตามใจชอบเลยนะคะ ร้านนี้เค้าดีหน่อยตรงที่มีเว็บภาษาอังกฤษให้ด้วย สาขาเค้าก็มีมากมายให้เลือกตามสะดวก สำหรับสาขาแม่ที่ Sakae ตามแผนที่ข้างล่างเลยค่ะ




สุดท้ายนี้เนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้โปรดดลบันดาลให้คุณผู้อ่านทุกท่าน และเพื่อนร่วมทริปปฏิบัติการค้นหาของอร่อยของเราทั้ง 3 คน มีสุขภาพที่แข็งแรง (จะได้มีแรงไปตะลุยชิมกับพวกเรา) ร่ำรวยเงินทอง สมปรารถนาทุกประการ
บ๊ายบายค่ะ พบกันใหม่โพสท์หน้า ซึ่งคาดว่าจะหนีไม่พ้นร้านอาหารที่ญี่ปุ่นเหมือนเคย :D

ピム宮 ~ pimmiya

Gyu-tan Rikyu (牛たん炭焼 利久)

สวัสดีวันส่งท้ายปีเก่าค่ะ วันนี้พีรับไม้มาเขียนบลอค เพราะสองสาว นาโอะกับพิมมิยะเค้าหนีไปทำภารกิจที่ญี่ปุ่นกัน แอบอิจฉาคงไปรับไอหนาวกันตั้งแต่ต้นปีเชียว เอนทรี่วันนี้พีเลยไม่ขอน้อยหน้า เอาร้านที่เรียกว่าเป็น"ที่สุด" สำหรับพีมาลงซึ่งคือร้าน Gyu-tan Rikyu ร้านลิ้นวัวย่างสาขามาจากเซนได ต้นตำหรับ

ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นกิวตัน เมนูชื่อดังของร้านก็คือลิ้นวัว พีเจอร้านนี้ตอนหาข้อมูลก่อนไปโตเกียวเมื่อเดือนสิงหาคม เจอว่าอยู่แถวโรงแรมของพีที่ Ikebukuro พีเลยโน๊ตๆไว้ว่าจะไปลอง ร้านนี้ตั้งอยู่บนห้าง Esola อยู่ทางออกด้านตะวันตกของสถานี JR Ikebukuro ถ้าเดินลอดใต้ดินมาก็เดินไปทางห้าง Tobu หรือ Lumine แล้วมองหาทางออก 3 (3出口) จะเจอบันไดเลื่อนขึ้นไปบนห้างเลยค่ะ ร้านจะอยู่ชั้น 7 เป็นชั้นที่มีแต่ร้านอาหารทั้งนั้น

หน้าร้านมีเก้าอี้เต็มเลย การันตีความอร่อย

ร้านเปิด 11 โมง แต่ว่าเพราะใกล้โรงแรม พีเดินไปถึงก็ 10.45น. เค้ายังไม่เปิดให้ขึ้นชั้นร้านอาหาร เลยเดินดูของไปเรื่อย จะเห็นว่ามีลูกค้าคนอื่นมารอขึ้นไปพอสมควร พอ11 โมงเค้าเปิดให้ขึ้นไปปั๊ป ทุกคนก็กรูกันขึ้นไปแล้วเข้าร้าน Rikyu กันหมด ตอนนั้นพีเลยเริ่มมั่นใจว่าร้านนี้เค้าอร่อยแน่นอน (เพราะไม่รู้ว่าเป็นร้านดังของเซนได คือรู้ว่ามาจากเซนไดเท่านั้น ความจริงเปิดเผยตอนพิมมะยะ ศิษย์เก่าโทโฮขุมาเฉลยนั่นเอง)

พีแอบศึกษาเมนูร้านเค้าตั้งแต่ที่เมืองไทยแล้ว จากเวบไซต์ของร้าน http://www.rikyu-gyutan.co.jp/ กับเวบรีวิวอาหาร Tabelog ของร้าน (http://r.tabelog.com/tokyo/A1305/A130501/13100183/) พีเลยสั่งเป็นกิวตันด้งเซท หรือข้าวหน้าลิ้นวัวย่าง แต่ใจจริงก็แอบอยากลองกินอย่างอื่นด้วย ทั้งสตู ทั้งแกงกะหรี่ น่ากินมาก

รอสักครู่เซทของพีก็มา (ชาอู่หลงนั่นไม่รวมในเซทนะคะ) มีข้าวหน้าลิ้นวัวย่าง มากับซุปหางวัวใส่เนงิ (ต้นหอมญี่ปุ่น) ผักดอง และไข่ลวก

ลิ้นวัวย่างตูมมาก จะบอกว่าขนาดพีเป็นคนกินเยอะ พียังแอบรู้สึกอิ่มมากจะกินไม่หมดเอา แล้วเหมือนเนื้อจะเยอะกว่าข้าวอีกต่างหาก ลิ้นวัวเค้าแล่บางๆย่างพอดีมาก ไม่สุกเกิน ไม่มีเหนียว ซอสที่ราดก็อร่อยมาก กลมกล่อม พีว่าเค้าฉลาดมาก เค้าเอากะหล่ำปลีซอยวางก่อนวางลิ้นย่างบนข้าว ทำให้ข้าวไม่แฉะเลย พีกินแบบธรรมดาก่อน ใส่ไข่ลงไปผสมแล้วเติมพริกลงไปเพื่อเปลี่ยนรสชาติ จะกินแบบไหนก็อร่อยมาก

ที่เซอไพรซ์กว่าคือซุป เพราะดูในรูปซุปสีขาวใสเหมือนน้ำล้างชามไม่มีผิด แต่พอได้ชิม โอ้โห อร่อยมาก ปกติพีไม่ชอบผักตระกูลหัวหอม/ต้นหอมเลย (นั่นคือที่มาของชื่อบลอกอาหารของพี Minus Onion) แต่กับร้านนี้ต้องยอม เพราะเนงิเค้าหวานมาก ซุปกลมกล่อม อร่อยมาก หางวัวก็ไม่เหนียว อร่อยมากจริงๆ

พีขอยกให้ร้านนี้เป็น Best eat ในญี่ปุ่นเลยสำหรับพี ถ้าได้กลับไปโตเกียวหรือเซนไดคงได้ไปใช้บริการอีกแน่นอน ถ้าใครชอบลิ้นวัวแนะนำจริงๆ ร้านมีสาขาหลายแห่ง ลองเช็คจากเวบ Gourmet Navi ของร้านได้ตามนี้เลยค่ะ (http://www.gnavi.co.jp/rikyu/) แต่ขอแนะนำว่าคนกินเยอะมาก ดังนั้นต้องกะเวลาดีๆ จะได้ไม่ต้องรอนานนะคะ

ในโอกาสนี้พีก็ขอสวัสดีปีใหม่ทุกท่านที่แวะมาอ่าน ขอให้มีความสุขมากๆ เจอแต่สิ่งดีๆ ร้านอร่อยๆในปีหน้านะคะ

Gyu-tan Rikyu (牛たん炭焼 利久)
7th floor, Esola, Ikebukuro



View Larger Map

Monday 26 December 2011

Auberge de Savièse

หลังจากอร่อยกับไส้กรอกต้นตำรับนำเสนอโดยพิมมิยะในโพสท์ที่แล้ว พีขอเสนอฟองดูต้นตำรับจากสวิสฯบ้าง ที่ร้าน Auberge de Savièse ที่เจนีวา มื้อนี้เป็นมื้อกินฟรี เป็น dinner ร่วมกัน หลังจากตรากตรำทำงานกันชนิดวันอาทิตย์ก็ต้องทำ (แต่จริงๆพีว่าดี เพราะวันอาทิตย์ ไม่มีร้านอะไรเปิดเลยที่เจนีวา เอาเวลาไปทำงานดีกว่า ช๊อปก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้) เลิกประชุมกันทุ่มสองทุ่ม (แต่อันนี้เกินไปมาก เลิกงานออกมา ร้านปิดหมดแล้ว งงชีวิตเลย เค้าจะรีบไปไหนคนยุโรป) เลยต้องมีฉลองร่วมกันหน่อย


ร้านนี้ชื่อ Auberge de Savièse (ดูแผนที่กะเมนูร้านได้ตามลิงค์เลยค่ะ) ร้านนี้หาง่ายมากที่สุด อยู่บนถนนเส้น
Rue des Pâquis ถนนของกินของเจนีวา เยื้องๆกับร้าน Gelato Mania เลย ร้านเล็กหน่อย เราเลยต้องแบ่งเป็นโต๊ะเล็กสองโต๊ะ พีและคู่หูสาวเลบานอนมานั่งร่วมโต๊ะกับหนุ่มๆ ที่บอกให้เราสั่งตามใจชอบ เพราะไม่สันทัดอาหารสวิสเลย เราสองคนเลยสั่งชีสมาเต็มทุกรูปแบบ


Starter เราสั่งมาแชร์กันคือ Raclette หรือชีสย่าง ที่พีสั่งจะเป็น starter เลยมาแค่ชีสย่างยืดๆ 1 จาน เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งหัวเล็กต้ม แถมด้วยแตงกวาดองและหอมดองไว้ให้กินแก้เลี่ยน ถ้าเป็น Raclette ที่เป็นเวอร์ชั่น main course จะเป็นชีสหั่นวางบนที่ย่างมาวางบนโต๊ะให้กินกันร้อนๆเลย ชีสไม่เหม็น หรือจริงๆเหม็นแต่พีไม่รู้ก็ไม่แน่ใจ แต่คนชอบชีสต้องชอบมากแน่ๆ มันไม่ได้เลี่ยนมากเพราะมีแตงกวาดองกับหอมดองไว้ตัดรสชาติอยู่แล้ว

Fondue maison

Fondue à la tomate

มาถึงพระเอกของงาน เราสองคนเลือก Fondue maison หรือฟองดูต้นตำรับ (แบบที่ใส่ไวน์ขาวธรรมดา) กับ Fondue à la tomate หรือฟองดูผสมมะเขือเทศ เวลามาเสิร์ฟเค้าก็จะมีขนมปังมาให้หนึ่งกระบะ กับมันฝรั่งหัวเล็กต้ม (จะอิ่มมากก็เพราะมันฝรั่งเนี่ยแหละพีว่า) แบบต้นตำรับเค้าจะใช้ซ้อมยาวจิ้มขนมปังแล้วจุ่มไปในชีส ส่วนแบบผสมมะเขือเทศ เค้าจะให้ช้อนมาตักชีสราดมันฝรั่งลงในจาน ยืนยันอีกครั้งว่าชีสไม่เหม็นเลย รสชาติดีมาก

ต้นตำรับ กับขนมปัง

แบบผสมมะเขือเทศกับมันฝรั่ง

พีชอบแบบต้นตำรับมากกว่า เพราะรู้สึกว่าแบบผสมมะเขือเทศมันจะออกรสเปรี้ยวๆเป็นกรด (acid) หน่อยๆ พีสันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะตัวไวน์ขาวก็เป็นกรด (acid)อยู่แล้ว พอมาเจอมะเขือเทศที่มีรสออกเปรี้ยว เป็นกรด (acid) ก็เลยทำให้รสเปรี้ยวมันเด่นออกมา พีตัดเลี่ยนโดยการสั่งสลัดจานโตมาแชร์กัน

มื้อนี้อิ่มอร่อยมาก ใครมาสวิสแล้วอยากให้ได้ลองฟองดูจริงๆ ยิ่งที่เจนีวา พอกินเสร็จแล้วออกไปเดินเล่นย่อยอาหารที่ริมทะเลสาปกันได้ด้วย (แต่ก็ระวังตัวกันด้วยนะคะ เค้าบอกว่ามีแกงค์กระชากกระเป๋าเยอะ แต่พีไม่เคยเจอนะ)

Auberge de Savièse
20 rue des Pâquis
1201 Genève
Switzerland
Tel. +41 22 732 83 30
Open: 12.00 - 14.00 hrs
18.00 - 24.00 hrs



Agrandir le plan

Historische Wurstkuchl

พูดถึงอาหารเยอรมัน เชื่อว่ารายการที่แว้บขึ้นมาในความคิดของใครหลายๆคนก็คงจะเป็นไส้กรอกกับเบียร์

คราวนี้ขอพาคุณผู้อ่านไปชิมไส้กรอกที่ร้านคู่บุญของเมือง Regensburg แคว้น Bavaria ประเทศเยอรมนีกันนะคะ

เมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ซึ่งแทบจะไม่เสียหายจากการทิ้งระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และเขตเมืองเก่ายังอยู่ในสภาพดีมากจนได้รับการยกย่องจากองค์การ UNESCO ให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก ส่วนการเดินทางก็ง่ายมากค่ะ ใช้เวลาแค่ประมาณชม.ครึ่งโดยรถไฟจากเมือง Munich ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นบาวาเรีย นั่งรถไฟต่อเดียวถึงเลย

หนึ่งในสถานที่ของเมืองที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาดก็คือ Steinerne Brücke (Stone Bridge) เป็นสะพานเก่าแก่ของเมือง อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Danube บนสะพานมีรูปปั้นนี้อยู่ หนึ่งใน icon ของเมือง


ร้านที่พิมมิยะจะพาคุณผู้อ่านมาชิมคือร้าน Historische Wurstkuchl ร้านอยู่เชิงสะพานที่ว่า หาไม่ยากเลยค่ะ


ตัวอาคารของร้าน ย่างไส้กรอกกันควันฉุยเลย


นั่งรับประทานไส้กรอกพร้อมรับลมเย็นๆริมสะพาน Stone Bridge

เมนูเด็ดของทางร้านซึ่งขายดิบขายดีมานานกว่า 500 ปี คือ Pork bratwurst เสิร์ฟพร้อม Sauerkraut (กะหล่ำปลีดองรสเปรี้ยว) ร้านนี้ทำ sauerkraut ได้อร่อยมากเลยค่ะ รสชาติกลมกล่อม ไม่เปรี้ยวจนเกินไป รับประทานคู่กันกับไส้กรอกหมูจานเด็ดที่หมักเข้ากับเครื่องเทศสูตรลับของทางร้าน เอามาย่างจนเกรียมนิดๆ พร้อมทั้งมัสตาร์ตรสดีที่ทางร้านทำเอง เข้ากั๊นเข้ากัน


จิบ Radler แกล้มไส้กรอกสูตรเด็ดจากหนึ่งในร้านที่ได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดในเยอรมนี

ตลอดทั้งทริปนั้นไส้กรอกเลิฟเวอร์อย่างพิมมิยะทานไส้กรอกเกือบทุกมื้อ แต่ต้องขอบอกว่าไส้กรอกร้านนี้อร่อยที่สุดในทริปนั้นเลยค่ะ ขนาดแก๊งสาวๆของเราสั่งกันตอนแรกคนละ 6 ชิ้นยังไม่พอ ฮ่าๆ บอกได้เลยว่าใครได้ลองต้องมีรายการสั่งเบิ้ลกันอีกหลายจานแน่นอน

อีกหนึ่งรายการที่อยากแนะนำก็คือ Radler เป็นเบียร์ผสมน้ำมะนาว รสชาติออกหวานนิดๆเมื่อเทียบกับเบียร์ทั่วไป ขอรับประกันว่าอร่อยจริงๆนะคะ หลังจากได้ลิ้มรส พิมมิยะก็สั่งมาดื่มทุกมื้อเลย แหะๆ ไหนๆก็มาถึงเยอรมันแล้ว เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม คนที่นี่เค้าดื่มเบียร์กันแทนน้ำ จะให้สั่งน้ำเปล่าก็กระไรอยู่ ใครไม่ชอบรสชาติขมๆของเบียร์ก็ลองแก้วนี้แทนละกัน รับรองว่าจะติดใจจนต้องสั่งในมื้อถัดๆไปแน่นอนค่ะ

สามารถเข้าไปดูเมนูของร้านได้ที่เว็บไซต์ Historische Wurstkuchl

ถ้าใครได้มีโอกาสไปเยือนแถวมิวนิค ก็สามารถจัดทริปไป-กลับเมืองนี้ภายในวันเดียวได้สบายๆ ไม่ว่าจะเป็นทริปไปชมเมือง หรือจะเป็นทริปเพื่อไปชิมไส้กรอกร้านนี้ (อย่างพิมมิยะ) ก็ได้เหมือนกัน ของเค้าดีจริงเลยเอามาบอกต่อค่ะ

ピム宮 ~ pimmiya

Credit: พี่สาวที่น่ารัก สำหรับรูปแจ่มๆ ขอบคุณนะค้า

Sunday 25 December 2011

Gelato Mania

เห็นนาโอะลงโพสท์เรื่องเจลาโต้ที่อิตาลี่แล้ว พีเลยขอส่งเจลาโต้จากเจนีวามาลงสนามบ้าง เผื่อใครไปเที่ยวเจนีวาจะได้ลองลิ้มชิมรสของอร่อยบ้าง

ร้านนี้ชื่อ Gelato Mania อยู่บนนถนน Rue des Pâquis ซึ่งจะเป็นย่านร้านอาหารของเจนีวาที่ไม่ไกลจากทะเลสาปเจนีวาเท่าไหร่ ร้านนี้อยู่แถวโรงแรมที่พีอยู่ พีเดินเล่นแล้วเห็นคนต่อแถวซื้อกันชนิดล้นออกมาหน้าถนนเลย พอเจอสาวน้องรีเซพชั่นที่โรงแรมเลยถามว่าร้านนี้อร่อยหรอ เธอตอบว่า The best in Geneva โอ้ แบบนี้ก็ต้องลองสิคะ


พีพยายามงัดความรู้ภาษาฝรั่งเศสที่เคยเรียนมาตอนม.ปลายออกมาใช้เพราะเมนูเป็นภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด หมายมั่นว่าจะลองคาราเมลกะโกโก้ แต่คาดว่าพีคงออกสำเนียงผิดไปหน่อย ได้กาแฟกับโกโก้มาแทน ตอนแรกแอบเซ็งเพราะพีเป็นคนไม่กินกาแฟ ไม่ว่าจะขนม ลูกอม หรือไอศครีมรสกาแฟ พีไม่เคยกินเลย แต่พอพีได้ลองเจลาโต้ของเจ้านี้แล้ว ต้องขอบอกว่า อร่อยมากๆ อร่อยชนิดโกโก้ที่พีอยากกินหมดความอยากไปเลย เนื้อเจลาโต้เค้าเนียนมาก รสชาติอร่อยกำลังดีไม่หวานเกินไป เข้มข้นแต่ก็ไม่หนักเกินโดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่กินกาแฟ แถมถ้วยใหญ่อีกต่างหาก ถ้าจำไม่ผิด ไซส์เล็ก 2 รส ราคา 4 ยูโร เทียบกับราคาของกินในสวิสถือว่าพอรับได้เลย (ยิ่งรับได้สำหรับคนชอบไอศครีมแบบพี)

ของดีก็ต้องมีซ้ำ พีถึงขนาดยอมงดข้าวเย็นเพื่อจะไปกินเจลาโต้เจ้านี้หลังจากทำงานเสร็จเลยทีเดียว คราวนี้โชคดีเพราะเพื่อนสาวชาวเลบานอนงดข้าวมากินด้วยกัน ที่ว่าโชคดีเพราะเธอพูดภาษาฝรั่งเศสได้ หน้าที่ในการสั่งเลยตกไปเป็นภาระของเพื่อน เราชาวไทยก็ยืนนิ่งๆรอจ่ายตังค์พอ ฮ่าๆ คราวนี้สั่ง 4 รส 2 ถ้วยมาแชร์กัน ทางซ้ายเป็นชอคโกแลตชิพ (Stracciatella) กับกาแฟ ถ้วยขวาเป็นคาราเมลกับอีกรสที่พีจำชื่อฝรั่งเศสไม่ได้ แต่เหมือนเป็นนมข้น รสนี้เพื่อนพีเป็นคนแนะนำบอกว่าต้องลอง สรุปว่าอร่อยหมดเลย ไม่หวานมาก ตรงข้ามร้านเจลาโต้มีน้ำพุกับที่นั่งรอบๆ เหมาะแก่การซื้อเจลาโต้มานั่งกิน นั่งดูผู้คน ชิลด์ๆ

แผนที่ร้าน Gelato Mania


View Larger Map

Friday 23 December 2011

Ippudo 一風堂

สวัสดีค่ะ พิมมิยะมารายงานตัวพร้อมรีวิวร้านราเมงในดวงใจของเราทั้งสามคน นั่นก็คือ Ippudo Ramen นั่นเอง

หลังจากที่ได้ชิมราเมงร้านนี้เป็นครั้งแรกพร้อมนาโอะเมื่อหลายปีก่อน ก็ติดใจและบอกต่อๆกันเรื่อยมา ราเมงของร้านนี้เป็นสไตล์ Hakata ตามชื่อถิ่นกำเนิดที่จังหวัดฟุกุโอกะ น้ำซุปจะออกข้นๆมันๆที่เรียกว่าทงคทสึ (Tonkotsu) ซึ่งเป็นซุปที่เคี่ยวจากกระดูกหมูจนไขมันที่อยู่ในไขกระดูกละลายออกมา เรียกว่าอร่อยจนลืมกลัวอ้วนกันไปเลย แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้าใครไม่ชอบอาหารที่มันๆก็อาจจะไม่ค่อยปลื้มกับร้านนี้เท่าไหร่นะคะ

Ippudo มีสาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น เพื่อนคนญี่ปุ่นของพิมมิยะหลายคไม่ว่าจะมีภูมิลำเนาจากเมืองไหน พอพูดถึงราเมง ทุกคนก็มักจะพร้อมใจกันพูดถึงร้านนี้


หน้าร้าน สาขา Sakae, Nagoya

สำหรับสาขาของ Ippudo ในประเทศญี่ปุ่น สามารถเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ของร้าน Ippudo จะลำบากหน่อยก็ตรงที่เว็บเค้ามีแต่ภาษาญี่ปุ่น ใช้กูเกิ้ลช่วยแปลก็พอจะอ่านรู้เรื่องอยู่ค่ะ แต่แผนที่ที่ในเว็บมีให้ก็ดันเป็นเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นซะอีกแน่ะ ถ้าจะหาแผนที่ร้านให้ง่ายขึ้นก็ก๊อปปี้ที่อยู่ร้านมาใส่กูเกิ้ลแม็พอีกที เช่น สาขา IPPUDO TAO FUKUOKA ก็ใส่ที่อยู่คือ 〒810-0001 福岡市中央区天神1-13-13 ลงไปในกูเกิ้ลแม็พ เท่านี้เราก็จะได้แผนที่ร้านเป็นภาษาอังกฤษปนญี่ปุ่นเอาไว้กันหลงทางแล้วค่ะ (กูเกิ้ลแม็พที่นั่นยังมีภ.ญี่ปุ่นปนซะเป็นส่วนใหญ่)




ร้านนี้ถึงแม้จะไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ แต่เมนูของเค้าก็มีรูปประกอบ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลเวลาสั่งอาหารนะคะ


ระหว่างนั่งรอราเมงมาเสิร์ฟ ก็สามารถตักผักดองและถั่วงอกคลุกน้ำมันงาของทางร้านมาทานเล่นไปพลางๆได้ไม่อั้น


ขอแนะนำถั่วงอกคลุกน้ำมันงาของร้านนี้ อร่อยแบบไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม

มาดูหน้าตาราเมงของเค้ากันดีกว่าค่ะ ชามแรก สุดยอดคลาสสิคตลอดกาล "Shiromaru" มาในชามสีขาวสมชื่อ (shiro = สีขาว) น้ำซุปรสชาติกลมกล่อม ไม่ค่อยรู้สึกว่ามันมากเท่าไหร่



ชามที่สอง "Akamaru" เสิร์ฟในชามสีแดงสมชื่อเหมือนกัน (aka= สีแดง) ชามนี้จะผสมมิโสะ (เต้าเจี้ยว) แบบเผ็ดลงไปด้วย ทำให้รสชาติเข้มข้นขึ้นมาอีกหน่อย แล้วก็มันกว่าชามแรกด้วย เวอร์ชันปกติของชามนี้จะไม่มีไข่ต้มให้นะคะ ในรูปข้างล่างพอดีอยากโด๊ปไข่เลยสั่งเพิ่ม




เมื่อก่อนพิมมิยะชอบน้องแดงมากค่ะ ตอนนี้ปันใจมาให้น้องขาวซะแล้ว สาเหตุเนื่องมาจาก.. (จะเล่าดีมั้ยเนี่ย) ชามนี้จะผสมงาดำบดด้วย เจ้านี่แหละค่ะตัวดี ทานแล้วไปติดตามซอกฟัน มีอยู่วันนึงไปทานพร้อมกับเพื่อนคนญี่ปุ่น ไอ้เราก็ยิ้มซะหวานเชียว ปรากฏว่ากลับถึงบ้านส่องกระจกดู.. งาบดสีดำๆติดฟันเพียบเลย!! พลาดจริงๆเลยค่ะวันนั้น เสียภาพลักษณ์หญิงไทยหมดเลย (ส่วนเพื่อนก็คงขำแทบตาย เหอๆ) T^T

เส้นบะหมี่ของทางร้านเป็นแบบเส้นกลมๆเล็กๆ ซึ่งเราสามารถเลือกระดับความนิ่ม-แข็งของเส้นได้ตั้งแต่
-แบบเส้นนิ่ม ทางร้านใช้คำว่า Futsuu ที่จริงคำว่า Futsuu แปลว่าธรรมดา ทั่วๆไปค่ะ
-แข็งปานกลาง ทางร้านใช้คำว่า Kata คำนี้ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าแข็ง ทางร้านเลยเอาคำนี้มาใช้กับเส้นแบบแข็งพอประมาณ
-แข็งที่สุดของทางร้าน (Barikata) -- อันนี้ของโปรดพิมมิยะค่ะ เคี้ยวแล้วหนึบๆดี แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นหนึบเหมือนสปาเกตตี้แบบเส้น al dante

ปกติแล้วถ้าเราไม่ระบุว่าจะเอาเส้นแบบไหน ก็จะได้แบบปานกลางมาเป็น default อยู่แล้ว ที่จริงแล้วถ้าใครพอจับใจความที่พนักงานพูดได้ เค้าจะพูดประมาณว่า Katamen ก็ให้พยักหน้าเออออไปกับเค้าละกันนะคะ สุดท้ายจะได้เส้นแข็งแบบปานกลางมาลองชิมค่ะ

ส่วนหมูชาชูของร้านก็นุ่มมาก แทบไม่ต้องเคี้ยว แล้วก็บางสาขาจะมีหมูตุ๋นก้อนๆ (Buta kakuni) ให้เลือกด้วย

บางสาขามีบะหมี่เกี๊ยวอีกตะหาก รสชาติจะสู้หมี่เกี๊ยวเมืองไทยได้หรือไม่ก็ต้องลองพิสูจน์กันเอาเองนะคะ


บะหมี่เกี๊ยวใส่หมูคาคุนิ ดีทั้งรสชาติและหน้าตา

นอกจาก Shiromaru กับ Akamaru แล้ว ก็ยังมีราเมงแบบอื่นด้วย เช่น

Karakamen น้ำซุปเป็นแบบ Shiromaru แต่ปรุงให้รสชาติเผ็ดจัดจ้านกว่า แถมมีให้เลือกความเผ็ดได้หลายระดับอีกด้วย แต่ที่ว่าเผ็ดสุดของเค้านี่นับว่าแค่เด็กๆของคนไทยเราเองค่ะ ชามนี้ไม่มีหมูชาชูกับไข่ต้มมาให้ แต่ใส่หมูสับผสมกับถั่วลิสงบดแทน จะว่าไปถ้าบีบมะนาวก็จะกลายเป็นบะหมี่ต้มยำบ้านเราแล้วแหละน้า~


Ippudo Karakamen อันนี้สั่งไข่ต้มมาใส่เพิ่มโปรตีนเองค่ะ

แล้วก็ เมนูน้องใหม่ล่าสุด Tsukemen บะหมี่แห้งจุ่มในน้ำซุปแบบเข้มข้น หอมกลิ่นปลาแห้ง ซึ่งพิมมิยะคิดว่าเค็มและมันเกินไป เลยไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่


Hakata Tsukemen

อีกหนึ่งเมนูที่แหวกแนวไปจากชามอื่น Hakata Chuuka soba ชื่อเป็นโซบะแต่ที่จริงแล้วเป็นโชยุราเมงค่ะ พิมมิยะแอบปลื้มตรงที่น้ำซุปไม่มันมาก รสชาติดีด้วย แถมใส่ผิวส้มลงไปทำให้กลิ่นหอมๆอีกต่างหาก



Hakata Chuuka soba

นอกจากนี้ทางร้านก็ยังมี Seasonal menu ให้เลือกชิมกันด้วย อย่างชามนี้เป็นเมนูหน้าร้อน ก็เป็นบะหมี่แห้งใส่ไข่ลวก ไม่ต้องมานั่งซดน้ำซุปร้อนๆให้เหงื่อโทรมกาย (อากาศร้อนๆ แล้วยังต้องมาซดราเมงร้อนๆอีก มันทรมานมากเลยนะคะนั่น!!) เมนูนี้ก็อร่อยไปอีกแบบ แต่โดยส่วนตัวยังไงก็เลิฟ Shiromaru กับ Akamaru ที่สุดแล้วแหละค่า


หลายปีที่ผ่านมาทาง Ippudo เองก็ได้ขยายสาขาไปยังประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็น New York, Singapore, Seoul รวมทั้ง Hong Kong ถ้าไม่มีโอกาสไปชิมถึงญี่ปุ่น ใกล้ๆบ้านเราอย่างสิงคโปร์หรือฮ่องกงก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

ขอตบท้ายด้วยรูปจาก Ippudo Singapore สาขา Mandarin Gallery รูปนี้ถ่ายเมื่อประมาณเกือบ 2 ปีที่แล้ว พิมมิยะไม่รู้สึกว่ารสชาติแตกต่างจากที่ญี่ปุ่นนะคะ อร่อยได้มาตรฐานอิปปุโดเหมือนเคย แต่แอบแพงนิดนึง มื้อนั้นพิมมิยะโดนเรียกค่าเสียหายไป 30 กว่าเหรียญ ประมาณ 700 บาท แถมน้ำชาก็ยังต้องจ่ายตังค์ด้วย ที่ญี่ปุ่นเซตราเมงบวกเกี๊ยวซ่าไม่ถึงพันเยน ถูกกว่าแยะเลย






ใครมีโอกาสได้ชิมดูแล้ว ขอเชิญแบ่งปันประสบการณ์ได้ที่นี่นะคะ :D

ピム宮 ~ pimmiya