Pages

Friday 25 January 2013

Hayashiya Chaen (林屋茶園) x Kiyoken (崎陽軒)

วันนี้พีขอนำเสนอทั้งคาวทั้งหวานในเอนทรี่เดียวกัน ทุกท่านจะได้ครบทุกรสชาติในโยโกฮาม่า (จริงๆคือมันสั้นมาก จะแตกเป็นสองเอนทรี่ก็กะไรอยู่)

เริ่มต้นด้วยของหวานก่อน จริงๆร้านนี้ไม่ใช่ของดังของโยโกฮาม่าแต่อันใด แต่ดันมีสาขาที่โซโก้โยโกฮาม่า แล้วได้อันดับของหวานที่ค่อยข้างสูงในเวบtabelog.com เจ้าเก่าเจ้าเดิม พีเลยลองหาข้อมูลดู มันคือร้าน Hayashiya Chaen (林屋茶園) ซึ่งเป็นร้านสาขาของร้านKyo Hayashiya (京はやしや) ร้านชาเขียวร้านดังที่เกียวโต ร้านนี้มีขนมทำจากชาเขียวแทบทุกอย่างค่ะ ตั้งแต่ขนมแบบญี่ปุ่นอย่างวาราบิโมจิชาเขียว ไปจนถึงซอฟท์ครีมชาเขียว

พีทำการบ้านมาก่อน เห็นเมนูอันดับหนึ่งของร้านนี้คือ โฮจิฉะ พาร์เฟ่ท์ ซึ่งโฮจิฉะ (ほうじ茶) ก็คือชาเขียวที่ได้เอาไปคั่วให้ใบชาเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นสีออกน้ำตาลแดง ด้วยความที่ใบชาผ่านความร้อน ทำให้คาเฟอีนก็น้อยตามลงไป คนญี่ปุ่นเลยนิยมเสิร์ฟโฮจิฉะหลังอาหารมื้อเย็น ได้อ่านที่มาของโฮจิฉะแล้วก็ทำให้พีตกลงปลงใจสั่งโฮจิฉะพาร์เฟ่ท์ พร้อมกับเซทเครื่องดื่มซึ่งเราเลือกได้ว่าจะเอาเป็นอะไรไม่ว่าจะเป็นชาเขียวร้อนเย็น ฯลฯ พีขอเลือกเป็นชาyuzu เย็น (ตอนสั่งไปลืมไปเลยว่าข้างนอกอากาศหนาว)


นั่งสักครู่น้องพนักงานสาวก็นำมาเสิร์ฟ ในหนึ่งเซทจะมีตัวขนม เครื่องดื่ม และเครื่องเคียง มันคือใบชาค่ะ แต่พีไม่แน่ใจว่าเค้าเอาไปทำอะไร มันจะออกรสเค็มปะแล่มนิดหน่อย คิดว่าทานแกล้มกับพวกมัตฉะร้อนๆอาจจะเข้ากันมากกว่าดื่มกับชาyuzuที่มีรสเปรี้ยว

ส่วนตัวพาร์เฟ่ท์ ตอนแรกพีก็นึกว่าจะเป็นไอศครีมโฮจิฉะทั้งหมด เปล่าเลย มีแค่ลูกเดียวอยู่ข้างบน ที่เหลือข้างล่างเป็นซอฟท์ครีมวานิลา มีโมเมนท์คุณหลอกดาวนิดหน่อย แต่ตอนหลังก็เข้าใจเค้า เพราะสีน้ำตาลที่เห็นที่เหลือคือตัวเยลลี่จากโฮจิฉะ นอกจากนั้นก็มีครีมสด โมจิ กล้วย และพีช ได้ชิมไอศครีมโฮจิฉะเป็นอันดับแรก ขอบอกว่า ปลื้มมาก หอม อร่อย ได้กลิ่นชาจริงๆ แต่คาเฟอีนไม่น้อยเลยนะคะ รู้สึกได้เลยว่าตื่นตัวทันใด อร่อยมาก มาถึงตัวเยลลี่ทานแล้วก็รู้สึกว่าเข้ากันซอฟท์ครีม อร่อยอีกแล้ว ประทับใจ ร้านนี้ครีมสดเค้าโอเคเลยค่ะ ถ้าใครเป็นคนไม่ชอบวิปครีมแบบพี มาญี่ปุ่นแล้วจะรู้สึกว่าประสบการณ์ครีมสดหรือวิปครีมที่นี่ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเค้าใช้วัตถุดิบสด ไม่ใช่บีบจากกระป๋องซึ่งรสชาติมันสังเคราะห์มากสำหรับพี วกมาที่ชาyuzu พีว่าจริงๆมันก็คือน้ำyuzu ผสมเปลือกและเนื้อมากกว่าจะเป็นชา แต่สดชื่นมากค่ะ

หากมีโอกาส เจอร้านนี้ที่ไหน (เพราะสาขาเค้าเยอะ รวมทั้งที่ชั้น 4 สนามบินนานาชาติฮาเนดะ) ขอให้ได้ลอง พี่เคยลองซอฟท์ครีมชาเขียวเค้าที่ฮาเนดะ ก็อร่อยได้มาตรฐาน ยกนิ้วให้เลย

ลำดับต่อไป ขอเป็นของคาวของฝากที่ขึ้นชื่อของเมืองโยโกฮาม่า เมืองที่มีChinatown ที่ใหญ่สุดในญี่ปุ่น ก็คงหนีไม่พ้นอาหารจีน ซึ่งก็คือ ขนมจีบ หรือ ชูไม シウマイ ร้านที่เป็นร้านดังมีสาขาอยู่ทุกหัวระแหงในจังหวัดคานากาว่าคือร้าน Kiyoken (崎陽軒) จริงๆพีก็ไม่ได้รู้จักหรือใส่ใจร้านนี้หรอกค่ะ เพียงแต่ว่าเผอิญศิลปินที่พีชอบ เธออ่านคันจิชื่อร้านนี้ผิด ออกอากาศค่ะ จาก Kiyoken กลายเป็นSakiyoken (ป.ล. เห็นไหมว่าคันจินี่มันยากจริงๆ ขนาดคนญี่ปุ่นที่เป็นนักแต่งเพลงยังมีโมเมนท์ที่อ่านคันจิผิดเลย) เรียกว่าแฟนเพลงของวงflumpoolทุกคนต้องรู้จักร้านนี้ แล้วศิลปินก็โดนล้อข้ามปีเลยยิ่งพอมาถึงถิ่นร้านKiyoken


ของขึ้นชื่อของKiyoken ก็แน่นอนต้องเป็นขนมจีบตามชื่อของร้านShumai no Kiyoken (シウマイの崎陽軒) พี่ก็ได้ซื้อติดไม้ติดมือหิ้วกลับมากินที่เมืองไทยด้วย


ซื้อแบบ 15 ลูก 600เยนกลับมาค่ะ ลูกเล็กๆ ไซส์ประมาณขนมจีบเซเว่นบ้านเรา แต่รสชาติจะมันกว่าขนมจีบบ้านเรา ถ้าใครเคยทานขนมจีบของร้าน551 Horai ที่โอซาก้า จะออกลักษณะเดียวกันค่ะ ถึงเหมาะกับการจิ้มกับมัสตาร์ดที่เค้าแถมมาเพื่อตัดเลี่ยนค่ะ

ใครสนใจซื้อขนมจีบหรือเบนโตะอาหารจีนร้านนี้ ซุ้มของร้านKiyokenนี่หาง่ายมาก มีอยู่ทุกสถานี JR หรือ Minatomirai line ในจังหวัดคานากาว่า หรือแถบโยโกฮาม่าเลยค่ะ แล้วถ้าสนใจ โรงงานKiyoken เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วยนะคะ ลองหารายละเอียดได้


ตบท้ายด้วยความน่ารักของคนญี่ปุ่น ที่เห็นคือที่ใส่ซอสจิ้มขนมจีบที่แถมมากับชุดขนมจีบที่ซื้อ มันเป็นเซรามิคค่ะคุณขา มันน่ารักมาก โดนใจพีเหลือเกิน เรื่องเล็กๆน้อยของคนประเทศนี้

Hayashiya Chaen (林屋茶園) 
Sogo 10F
Yokohama
website: http://www.kyo-hayashiya.com/

Kiyoken (崎陽軒)
website: http://www.kiyoken.com/



View Larger Map

Tuesday 15 January 2013

Yokohama Ganso Sapporo-ya (横浜元祖 札幌や)

สวัสดีค่ะ
ห่างหายไปนานเลย ปล่อยให้สองสาวนาโอะกับพิมมิยะเค้าอัพบล๊อคกันอย่างขมักเขม้น คราวนี้ก็ขอมาแนะนำร้านราเมงที่โยโกฮาม่า จริงๆโยโกฮาม่าเหมือนจะเป็นเมืองศูนย์รวมของราเมงเพราะมีพิพิธภัณฑ์ราเมงที่ชินโยโกฮาม่า แต่เอาเข้าจริง ในตัวเมืองโยโกฮาม่า (หมายถึงสถานีJR Yokohama) ไม่ค่อยมีร้านราเมงเลย ถ้ามีก็จะเป็นร้านราเมงสไตล์จีน หรือบะหมี่เกี้ยวบ้านเรา พีลองหาร้านจากเว็บหากินเจ้าเดิม คือ http://www.tabelog.com ก็เจอร้าน Yokohama Ganso Sapporo-ya (横浜元祖 札幌や) ที่อยู่ชั้นB1Fของห้าง Sotetsu Joinus ซึ่งติดกับตัวสถานีJR Yokohama เลย


ถ้าออกมาจากสถานีJR Yokohama ให้ออกมาcentral exitนะคะ ดูป้ายที่จะชี้ไปป้ายรถเมล์ ห้างอยู่ทางนั้นเลยค่ะ (แต่ถ้าเจอห้างLumine หรือไปทางโซโก้ แปลว่ามาผิดทางแล้ว ต้องเดินไปฝั่งตรงข้ามนะคะ)

ร้านนี้เป็นร้านราเมงซุปสไตล์ซัปโปโรตามชื่อค่ะ ซุปสไตล์ซัปโปโรเนี่ย จริงๆแล้วก็มีทั้งซุปเกลือ (ชิโอะ) ซุปโชยุ และซุปมิโสะ ร้านนี้เลือกได้เลยค่ะว่าจะสั่งซุปชนิดไหน แล้วก็มีทอปปิ้งให้เลือกใส่เพิ่มได้ รวมทั้งเนย ใช่แล้ว ราเมงบัตเตอร์ ของขึ้นชื่อของซัปโปโร

พีสั่งเป็นมิโสะราเมง เพิ่มทอปปิ้งเป็น โมยาชิ หรือถั่วงอก ขอบอกว่าชามใหญ่มาก ราเมงอย่างเดียวชามละ700เยน ทอปปิ้งอีก80เยน มันเยอะมากค่ะ ถั่วงอกนี่มันกองใหญ่มาก ถั่วงอกเค้าเป็นถั่วงอกผัดแล้ว มีรสมีชาตินะคะ ซุปมิโสะก็กลมกล่อม แต่ขอบอกว่าหลังๆมันก็ไม่ไหวนะคะ มันเลี่ยนนิดหน่อย อาจต้องมีตัดรสด้วยพริกอะไรแบบนี้ พี่ว่าร้านนี้อร่อยใช่ได้เลยค่ะ เสียดายที่ได้มีโอกาสลองซุปแค่แบบเดียว อยากลองชิโอะราเมงบ้าง เห็นคนสั่งกันเยอะมาก เอาไว้คราวหน้าค่อยไปลองเนอะ

Yokohama Ganso Sapporo-ya (横浜元祖 札幌や)
B1F Sotetsu Joinus
Yokohama, Japan


View Larger Map

Friday 11 January 2013

Oriental Tea House

สวัสดีค่ะ เอนทรี่นี้เราจะไปหาของอร่อยๆทานกันที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียกันนะคะ ร้านนี้พิมมิยะไปทานแล้วซุกไว้ในกรุมาประมาณค่อนปีแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้เอามาลง แหะๆๆ

พิมมิยะเคยไปออสเตรเลียตั้งแต่สมัยยังเด็กๆ จำอะไรก็ไม่ค่อยได้ค่ะ ยกเว้นอย่างเดียวคือ ประเทศนี้อาหารทะเลอร่อยมว้ากกกก ฮ่า~ ของเค้าสดซิงๆนะเออ สมกับที่ประเทศเป็นเกาะขนาดยักษ์

ปีที่แล้วมีโอกาสไปประชุมที่เมลเบิร์น ก็ต้องขอไปทบทวนความทรงจำ หม่ำอาหารทะเลอร่อยๆซะหน่อย หลังจากเลิกประชุมวันสุดท้ายก็เลยชวนเพื่อนอีกคนไปทานติ่มซำด้วยกันที่ร้าน Oriental Tea House สาขาถนน Little Collins ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจาก Flinders Street Station ค่ะ



เมนู โปรดสังเกตรูปบ้านสำหรับรายการอาหารแนะนำ







น้ำชามาก่อนใครเพื่อน พวกเราสั่ง Jasmine green tea ($3.00) ไป จากบรรดาชาหลายสิบชนิดของทางร้าน ตอนแรกที่พนักงานเอามาเสิร์ฟนี่พิมมิยะกรี๊ดมาก เพราะให้พวกเราเทจากกาใส่จอกจิ๋วๆใสๆ เก๋ซะไม่มี แต่พอจิบเข้าไปแล้วพิมมิยะได้แต่นึกบ่นในใจ เพราะจิบยากมากค่ะ แบบว่าปากจอกหนามาก จิบทีน้ำชาแทบจะไหลออกทางมุมปากและร่องแก้ม -*- ให้ดื่มจากกายังง่ายซะกว่านะนั่น แต่ก็ให้อภัยได้เนื่องจากชาหอมสุดๆเลยค่ะ



หลังจากมะรุมมะตุ้้มกับจอกน้ำชาไปได้พักนึง Peking duck ($8.90) เป็ดปักกิ่งของพวกเราก็มาถึง



โฮ~ ผิดหวังอย่างแรงค่ะ ลืมไปว่าเค้าทานเป็ดปักกิ่งแบบเนื้อนุ่ม แต่หนังไม่กรอบ ไม่เหมือนบ้านเรา



จานที่ 2 King prawn dumplings ($7.90) โอ้ว.. จานนี้แนะนำเลยค่ะ ใครที่ชอบทานกุ้งมิควรพลาดอย่างเด็ดขาด กุ้งเป็นตัวๆ สด เด้งในปาก



Shanghai pork dumplings ($5.90) เสี่ยวหลงเปา อันนี้ไม่ไหวค่ะ แป้งหนาเกิ๊น บ้านเรามีร้านที่อร่อยกว่าให้ทานอีกหลายร้านเลย



Roast duck dumplings ($6.90) เข่งนี้พิมมิยะช้อบชอบ เพราะเป็นไปตามความคาดหวังว่าจะได้ทานเนื้อเป็ดแบบเนื้อๆเน้นๆ ผิดจากเป็ดปักกิ่งเมื่อตะกี๊ (อันนั้นอยากทานหนังกรอบๆ ดันได้แบบเนื้อๆ แถมหนังเหนียวอีกตะหาก ฮ่วย~)



แป้งบาง ไส้ทะลัก อร่อยค่ะ ง่ำ~ พิมพ์ไปก็หิวไป ^^" ขนาดไม่จิ้มอะไรก็ยังอร่อย



แล้วก็เข่งสุดท้าย Scallop dumplings ($8.90) น้องหอยเชลล์ได้ใจพิมมิยะไปเต็มๆ หวาน สดมาก อร่อยสุดๆค่ะ



สรุปแล้วถ้ามาร้านนี้ให้เลือกสั่งเมนูที่เป็นรายการแนะนำของทางร้าน อย่าง King prawn, scallop แล้วก็ roast duck dumplings นี่ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารแนะนำทั้งนั้น แต่ที่ไม่อร่อยอีก 2 อย่างมันไม่ใช่ง่ะ ฉะนั้นกรุณาศึกษาเมนูให้ดีก่อนที่จะลองสั่งอย่างอื่นนอกเหนือจากที่นำเสนอไปแล้วนะคะ :D


Oriental Tea House Little Collins
378 Little Collins Street Melbourne






ピム宮 ~ pimmiya

Thursday 10 January 2013

Jigoku Mushi Kobo 地獄蒸し工房

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

ถ้าพูดถึงเมืองเบปปุ คุณผู้อ่านที่พอจะรู้จักชื่อเมืองนี้ก็ต้องนึกถึงบ่อน้ำพุร้อนใช่มั้ยคะ ทริปญี่ปุ่นล่าสุดของนาโอะ นาโอะไปเยือนเมืองนี้ครั้งแรกค่ะ หลังจากไม่ได้แช่ออนเซนมานานมาก ไปญี่ปุ่นมาก็หลายทริป ทริปนี้เลยถือโอกาสฝ่าลมหนาวไปแช่ออนเซนที่เมืองเบปปุค่ะ ในเมืองเบปปุนั้น มีแหล่งท่องเที่ยวที่เรียกว่า ทัวร์นรก อยู่ คุณผู้อ่านที่ไม่เคยได้ยินไม่ต้องตกใจนะคะ ไม่ได้ลงไปทัวร์นรกจริงๆ (ใครจะอยากไป) แต่เค้าหมายถึง ทัวร์บ่อน้ำพุร้อนที่เค้าเรียกว่า Jigoku (Hell) ซึ่งประกอบด้วยบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ระแวกใกล้เคียงกัน 8 บ่อด้วยกันค่ะ และในเส้นทางระหว่างการท่องเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนเหล่านี้ ก็มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ให้บริการอาหารซึ่งปรุงโดยใช้ความร้อนและไอน้ำจากบ่อน้ำพุร้อนอยู่ค่ะ

Jigoku Mushi Kobo 地獄蒸し工房 เป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกอาหารดิบเพื่อนำไปปรุงสุกด้วยความร้อนและไอน้ำจากบ่อน้ำพุร้อนใต้ดิน ที่เรียกว่าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพราะว่า มันเป็นลักษณะ self service ค่ะ นักท่องเที่ยวต้องบริการตัวเอง ตั้งแต่เลือกอาหาร จ่ายเงิน นำอาหารไปเข้าเตานึ่ง ยกมาทานเอง และล้างจานเองด้วยค่ะ

ทางเข้า

ป้ายหน้าศูนย์

นาโอะแนะนำว่า พอเข้าไปข้างในแล้ว ให้สังเกตขวามือค่ะ จะมีเคาน์เตอร์ Tourist Information อยู่ จะมีเจ้าหน้าที่ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ คอยแนะนำและอธิบายว่าเราต้องทำยังไงบ้าง

ตู้จ่ายเงิน

เมนูเพิ่มเติม

ขั้นตอนแรก คุณผู้อ่านก็ต้องมาเลือกอาหารที่อยากทานก่อน โดยดูจากป้ายเมนูขวามือ (ภาษาญี่ปุ่นล้วนนะคะ แต่ภาพก็สามารถบ่งบอกได้ทุกสิ่ง) โดยเมนูของเค้าจะมีลักษณะเป็นเซต เช่น เซตอาหารทะเล ก็จะมีกุ้ง หอย ปลาหมึก, เซตผัก, เซตเห็ดและมัน เป็นต้น แล้วนอกจากเซตอาหาร ก็ยังมีอาหารเป็นอย่างๆ  เช่น ปลา, ปู และอื่นๆ ให้เลือกมากมายค่ะ นอกจากนี้ คุณผู้อ่านสามารถไปซื้ออาหารดิบจากร้านด้านนอกเข้ามาได้ด้วยค่ะ ด้านนอกของศูนย์จะมีร้านขายพวกอาหารทะเลอยู่ แต่พวกเราไม่ได้ซื้อเข้ามาค่ะ แค่กดสั่ง (แทบจะทุกอย่าง) ที่เค้ามีขายในศูนย์ก็เยอะเพียงพอแล้ว

พอเลือกอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจำเป็นต้องนำคูปองไปให้ที่เคาน์เตอร์ก่อน เพื่อให้เค้าประเมินว่า เราต้องใช้ตะกร้าไซส์ไหนในการปรุงอาหารของเรา ซึ่งพอเราทราบไซส์แล้ว เราค่อยมากดเลือกตะกร้าจากตู้จ่ายเงินอีกครั้งค่ะ ค่าตะกร้าก็เปรียบเสมือนค่าบริการในการนึ่งและการใช้สถานที่นั่นเอง สำหรับแกงค์นาโอะ เราได้ตะกร้าชุดใหญ่สุดเลยค้า เอิ้ก

เมื่อยื่นคูปองให้ที่เคาน์เตอร์เพื่อเตรียมอาหารเรียบร้อยแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่จัดเตรียมอาหารใส่ตะกร้าให้เราเรียบร้อยค่ะ โดยที่เค้าจะนำอาหารที่ใช้เวลาในการนึ่งใกล้เคียงกัน ใส่ไว้ในตะกร้าเดียวกัน เพื่อที่ง่ายเวลาเราไปนำออกมาจากเตานึ่งค่ะ

เคาน์เตอร์เตรียมอาหาร

บริเวณที่นึ่งอาหาร 

ชั้นวางจาน

เครื่องปรุง

เมื่อเจ้าหน้าที่เตรียมอาหารให้เราเรียบร้อย เราก็จัดการยกตะกร้า ซึ่งจะเป็นลักษณะตะกร้าหลายใบซ้อนๆ กัน ไปยังบริเวณที่นึ่งอาหารเองค่ะ ในบริเวณที่นึ่งอาหาร จะมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบายว่าแต่ละตะกร้าใช้เวลากี่นาที (ซึ่งเจ้าหน้าที่ของ Tourist Information ก็จะช่วยแปลให้)

นาฬิกาจับเวลา

เจ้าหน้าที่บริเวณที่นึ่งจะส่งนาฬิกาจับเวลาพร้อมหมายเลขเตานึ่งให้เรา (จะได้กลับไปถูกเตา) เราต้องคอยดูเวลาไว้ค่ะ เพราะอาหารแต่ละตะกร้าจะใช้เวลาแตกต่างกัน เช่น ผักจะใช้เวลาแค่ 10-15 นาที อาหารทะเล 20 นาที และไก่ 30 นาทีค่ะ ระหว่างรอ เราก็ไปหยิบจาน ตะเกียบ เครื่องปรุงมาเตรียมรอที่โต๊ะเราเองค่ะ

รายละเอียดของศูนย์บริการ

หลังจากที่พวกเราใจจดใจจ่อนั่งจ้องนาฬิกาอยู่ครบ 15 นาที พวกเราก็รีบออกไปเตานึ่งเบอร์ 2 เพื่อเอาผักและมันออกมาค่ะ พอไปถึง จะมีเจ้าหน้าที่ยื่นถุงมือยางกันความร้อนให้ เราต้องเปิดฝาไม้ (ซึ่งหนักมาก) แล้วยกตะกร้าทั้งชุดของเราออกมา คุณผู้อ่านอย่ายื่นหน้าเข้าไปดูนะคะ เพราะมันร้อนเอาเรื่องเลยทีเดียว เจ้าหน้าที่จะช่วยดูให้ว่าอาหารสุกได้ที่รึยัง แล้วเราสามารถเอาตะกร้าไหนไปทานได้แล้วบ้าง เราก็จะต้องหยิบเอาตะกร้าที่สุกแล้วกลับมา ส่วนตะกร้าที่ยังไม่สุกก็นำกลับเข้าไปในเตานึ่ง และปิดฝาเหมือนเดิมค่ะ เดี๋ยวอีก 5 นาที กลับมาเอาใหม่

ผักสุกแล้ว

พอได้อาหารชุดแรกมา ก็มะรุมมะตุ้มกันสุดริดค่ะ เนื่องจากหิวกันหน้ามืดพอประมาณ เซตแรกเป็นชุดผัก+ไข่ และมันค่ะ มันญี่ปุ่นอร่อยมว๊ากกกกกกกกก ยิ่งทานร้อนๆ ยิ่งอร่อยสุดๆ ทานๆ ไป ชักลืมดูเวลา อ๊ากก เลย 5 นาทีที่คุณป้าบอกให้ไปเอาปลาแล้ว เราก็เลยรีบวิ่งไปเอาปลาและอาหารทะเลกันค่ะ หลังจากนั้นอีก 10 นาที ก็ไปเอาไก่

ชุดผัก+ไข่, ไส้กรอกสั่งมาเพิ่มเอง

ชุดมัน หัวหอมและฟักทอง, ข้าวคลุกในห่อสั่งมาเพิ่มเอง

ปลา

อาหารทะเล

ไก่

ข้าวคลุก (คล้ายบ๊ะจ่าง)

อาหารโดยรวมก็โอเคค่ะ ไม่ได้ถึงกับอร่อยมากหรือแย่แต่อย่างใด เพียงแต่ได้ความสนุกจากการที่ต้องบริการตัวเองนี่แหละค่ะ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ หลังจากทานเสร็จเรียบร้อย ก็นำจานและตะกร้าไปล้างด้วยตัวเองค่ะ อากาศหนาว น้ำเย็น ปรื๊อ

ถ้าคุณผู้อ่านแพลนจะไปเที่ยวทัวร์นรกที่เบปปุ นาโอะแนะนำมากๆ ค่ะ ว่าควรไปทานที่นี่ เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่นง่ายๆ ยิ่งถ้าไปหลายๆ คนนะคะ นาโอะว่ายิ่งสนุก ถ้าอยากได้อาหารทะเลที่สด แนะนำให้ซื้อร้านด้านนอกเข้ามาค่ะ จะได้ทานอาหารทะเลที่สดกว่าที่มีขายอยู่ในศูนย์

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนี้อยู่ใกล้ๆ กับป้ายรถเมล์ Kannawa ค่ะ หาไม่ยากเลย เพราะจะมีป้าย Tourist Information ตั้งตะหง่านอยู่ ไม่ไกลจากสี่แยกที่รถเมล์จอดค่ะ


View Larger Map

แล้วพบกันใหม่ค่ะ
nao~*

Sunday 6 January 2013

Maison Antoine

สวัสดีค่ะ มาถึงเอนทรี่สุดท้ายของ Brussels กันซะทีหลังจากดองข้ามปี พิมมิยะจะพาไปเก็บตกอาหารอีกอย่างที่ยังไม่ได้พาไปชิม นั่นก็คือ frites หรือมันฝรั่งทอดที่บ้านเราเรียกว่าเฟรนช์ฟรายส์นั่นเองค่ะ 

เมื่อมาถึงประเทศที่บริโภคมันฝรั่งทอดเป็นปริมาณต่อหัวประชากรมากที่สุดในโลก (ไม่น่าเชื่อเนอะว่าจะเยอะกว่าชาวอเมริกันซะอีก) ไม่ว่าจะเข้าร้านอาหารร้านไหนก็จะต้องเสิร์ฟมันฝรั่งทอดมาให้ทานทุกมื้อ แต่มันทอดที่เสิร์ฟในร้านอาหารส่วนใหญ่จะเป็นมันที่ทอดทิ้งไว้นานแล้ว ซึ่งออกแนวนิ่มๆหน่อยค่ะ ไม่อร่อยเลยง่ะ พวกเราจึงต้องออกตามหาร้านขายมันทอดที่เด็ดที่สุดในบรัสเซลส์ 

ข้อมูลหลายแหล่งระบุว่าร้านขายมันทอดที่อร่อยที่สุดในบรัสเซลส์อยู่ที่ Place Jourdan ชื่อร้าน Maison Antoine ในเมื่อพยานและหลักฐานเพียบพร้อมขนาดนี้ พวกเราก็ตรงเข้าพิสูจน์หลักฐานกันเลยดีกว่าค่ะ!

ร้านตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางปลาซเลย เดินไปจากสถานี Schuman พอใกล้ถึงร้านก็ได้กลิ่นเนยที่ใช้ทอดลอยมาแต่ไกล ข้อมูลในเว็บที่พิมมิยะเสิร์ชเจอเค้าบอกว่า ร้านนี้ใช้เนยจากควายเป็นส่วนผสมของน้ำมันที่ใช้ทอดค่ะ (ขออภัยถ้าพิมมิยะใช้คำไม่สุภาพ ที่จริงก็อยากดัดจริตเรียก เนยกระบือ อยู่เหมือนกันนะคะ ฮุฮุ~) ตอนที่ไปถึงนี่คนรอคิวยาวเป็นหางว่าวเลย แต่ละคนก็ไม่ได้ซื้อกันน้อยๆค่ะ คนนึงเหมาเป็นสิบโคน (ที่นั่นเค้าขายมันทอดใส่ในโคนค่ะ) คนขายก็เอาโคนมันทอดแพ็คใส่ลังให้ลูกค้าหอบกลับบ้านอีกที เสียดายจังที่ไม่ได้ถ่ายรูปลังใส่โคนมันทอดมาให้ชมกัน แบบว่าดูบริโภคกันอย่างจริงจังมาก ฮ่า~



เมนูตามนี้เลยค่ะ



นอกจากจะขายมันทอดแล้ว ยังมีสแน็คอื่นๆขายอีกด้วย อย่างเช่นนักเก็ตไก่ แซนด์วิช ฯลฯ แต่คิวตรงนี้ไม่ได้รวมกับคิวซื้อมันทอด คือว่าไม่มีไม่มีคนต่อคิวเลย เอิ๊กๆ



ด้วยความที่คิวมันทอดยาวเหลือเกิ๊น หนุ่มเอ๋เลยไปเมืยงมองตรงที่ขายสแน็ค แล้วซื้อหอยทาก (escargot) ต้มมาชิมระหว่างรอคิว ก็อร่อยแบบแปลกๆดีค่ะ ต่อคิวท่ามกลางอากาศเย็นๆแล้วได้ทานอะไรอุ่่นๆนี่มันเริ่ดม้ากกกกเลยนะคะ 



มาแอบส่องเตาทอดกันบ้างดีกว่า มันทอดของร้านนี้เค้าทอด 2 รอบค่ะ ถึงจะได้อารมณ์กรอบนอก นุ่มใน



หลังจากความพยายามในการรอคอยเกือบครึ่งชม. พวกเราก็ได้ชิมมันทอดสมใจ มันทอดร้านนี้มีให้เลือก 2 ขนาดค่ะ 2.20 กับ 2.50 € พวกเราเลือกไซส์เล็ก เนื่องจากมีแผนจะไปชิมหอยแมลงภู่กันต่อ อ๊ะๆๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิคะ พวกเรามาเที่ยวกันค่ะ ไม่ใช่ทัวร์กิน ^^" 


เหยาะเกลือลงไปนิดนึง อร่อยมากค่ะ กรอบนอกนุ่มในจริงๆ แถมยังหอมเนย (กระบือ) อีกด้วย ขนาดพิมมิยะไม่ค่อยถูกโรคกับมันฝรั่งทอด ยังต้องยอมรับเลยว่าของเค้าอร่อยจริงๆ ยิ่งถ้าได้เบียร์มาแกล้มด้วยน่าจะเวิร์คมากเลย 



ถ้าจะจิ้มซอสก็ต้องเสียตังค์ซื้อเพิ่มนะคะ พวกเราเลือกมา 2 รส อันแรกเป็นรส Brazil (0.60 €) รสชาติดีทีเดียวค่ะ ออกหวานนิดๆ เพราะมีสัปปะรดเป็นส่วนผสมด้วย



หรือจะจิ้มซอสทาร์ทาร์ (Tartare Maison 0.60 €) ก็อร่อยน้า~ ซอสเค้ามีให้เลือกหลากหลายมาก ดูในรูปที่เป็นเมนูได้เลยค่า



อ้ำ~ ลองชิมซักคำนะคะ :D



หลังจากที่พาคุณผู้อ่านไปชิมของอร่อยจากเบลเยียมครบทั้ง 5 อย่างไปแล้ว พิมมิยะก็ต้องขอลาไปเพียงเท่านี้ก่อน แต่ว่ายังเหลือร้านอร่อยที่เมืองน่ารักอย่าง Bruges อีกนะคะ แต่พิมมิยะขอแปะไว้ก่อน ขอข้ามไปประเทศอื่นบ้าง แต่จะเป็นที่ไหน โปรดติดตามเอนทรี่หน้านะค้า~ :D



Maison Antoine
Place Jourdan 1
1040 Etterbeek, Belgium
Subway: Schuman




ปล. สถานีซับเวย์ที่บรัสเซลส์ค่อนข้างอันตรายอยู่เหมือนกัน มีทั้งคนเมา ทั้งพี่มืดเต็มไปหมด ถ้าใครจะไปก็ระมัดระวังตัวกันด้วยนะค้า~ ด้วยรักและห่วงใย จุ๊บๆ :D

ピム宮 ~ pimmiya