Pages

Tuesday 5 June 2012

Pierre Hermé


หลังจากไปชิมยากิโทริกับพีในเอนทรี่ก่อนหน้านี้แล้ว รอบนี้กลับมาพบกับของหวานๆในปารีสกันต่อดีกว่านะคะ ครั้งนู้นพิมมิยะแนะนำร้านอมตะนิรันดร์กาลอย่าง Ladurée ไปแล้ว ถ้าจะไม่เล่าถึงร้านที่เป็นคู่ชกรุ่นน้องอย่าง Pierre Hermé ก็คงจะไม่ได้แล้วแหละค่ะ เพราะไม่ว่าใครต่อใครก็มักจะเอา 2 ร้านนี้มาเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ

เดิมที Pierre Hermé เป็นเชฟขนมหวานที่ร้าน Ladurée นี่เอง ตอนหลังถึงได้แพลนที่จะแยกตัวมาเปิดร้านของตัวเอง แต่ตอนนั้นมงสิเออร์ปิแอร์ติดสัญญากับทางลาดูเรว่าจะไม่เปิดร้านของตัวเองในปารีส ก็เลยเลี่ยงๆมาเปิดร้านในญี่ปุ่นที่โรงแรม New Otani ในโตเกียวแทน นับเป็นบูติคแรกในโลกของ Pierre Hermé เลย ก่อนที่จะหมดสัญญากับทางลาดูเรและเปิดสาขาแรกในปารีสขึ้นที่ rue Bonaparte เมื่อปี 2002

พิมมิยะได้ชิมขนมของร้านนี้เป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่นค่ะ ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะไปอุดหนุนสาขาแม่ที่โรงแรมนิวโอตานิ แต่สืบทราบมาว่าที่สาขา Aoyama นั้นยั่วยวนยิ่งกว่านัก เนื่องจากมี chocolate bar ตั้งอยู่ แถมยังมีที่ให้นั่งรับประทานด้านบน และสาขานี้นับเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียวอีกด้วย พิมมิยะเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่สาขานี้แทนหลังจากเดินชิลด์ๆแถวย่าน Omotesando ต่อมาเรื่อยจนถึง Aoyama


ต้องขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปร้านเอาไว้เลย เพราะไม่แน่ใจว่าเค้าอนุญาตให้ถ่ายได้รึเปล่า ตัวร้านส่วนที่มีที่ให้นั่งรับประทานอยู่ที่ชั้น 2 ค่ะ มองออกไปเห็นวิวถนน Aoyama เพลินๆดี


พิมมิยะเลือกเซตชื่อ Fetish Envie เนื่องจากเหลือบไปเห็นโต๊ะข้างๆนั่งทานอยู่อย่างเอร็ดอร่อย หน้าตาดูดีมาก เซตนี้นับเป็นขนมที่แพงที่สุดเท่าที่พิมมิยะเคยซื้อกินมาเลย ราคา 1,680 เยน (แทบเป็นลม.. เงินจำนวนนี้พิมมิยะเอามาซื้ออาหารสดทำกับข้าวได้ทั้งอาทิตย์เลยนะคะ) แต่ก็ต้องสารภาพว่าเป็นขนมที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมาเช่นกัน สุดยอดจริงๆค่ะ เป็นเซตขนม 5 อย่างที่ทำจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย แต่มี Cassis (blackcurrant) เป็นนางเอก ประกอบไปด้วย Panna cotta, ไอศครีม, เยลลี่, มากาฮอง แล้วก็ก้อนสี่เหลี่ยมๆในรูป ไม่ทราบว่าเรียกอะไร (รู้อย่างเดียวคือ อร่อยม้ากกกค่ะ ฮ่า~)


ข้างในก้อนสี่เหลี่ยมอันนั้น ไส้เป็นแยม


ไอศครีมอร่อยมากค่ะ หวานอมเปรี้ยวกำลังดีเลย ส่วนพันนาคอตต้าก็หอม มัน สะใจพิมมิยะ ตัดความเลี่ยนด้วยรสเปรี้ยวของผลเบอร์รี่สดๆ


โหวตให้อันนี้เป็นที่สุดของเซตนี้เลย เพราะมากาฮองชิ้นนี้นี่แหละค่ะที่ทำให้พิมมิยะฝากเนื้อฝากตัวเป็นแฟนมากาฮองของปิแอร์ แอร์เมมาจนถึงทุกวันนี้ แป้งข้างนอกกรอบนิดๆ ส่วนไส้ข้างในก็หอม blackcurrant ขึ้นสมองเลย อร่อยมากถึงมากที่สุด


และเมื่อรู้ตัวว่าจะมีโอกาสได้ไปปารีส พิมมิยะก็หมายมั่นปั้นมือที่จะไปเยือนสาขาแม่ของปารีสที่ rue Bonaparte ให้ได้ค่ะ และเนื่องจากสาขานี้ไม่มีที่ให้นั่งรับประทานข้างในร้าน พวกเราเลยหอบขนมมานั่งกินกันที่หน้าโบสถ์ Église Saint-Sulpice ซึ่งก็เดินไม่ไกลจากร้าน (ใครที่เคยอ่าน/ดู The Da Vinci Code คงจะคุ้นๆกับชื่อโบสถ์แซงซุลปิซกันมาบ้างใช่มั้ยคะ) พวกเราก็เลยสบโอกาสทัวร์โบสถ์ไปด้วยในตัว :D


มาเปิดกล่องดูกันดีกว่าค่ะ วันนั้นเลือกขนมมา 3 อย่าง พร้อมมากาฮองอีก 4 ชิ้น
Ispahan กับ Vanilla tart


แล้วก็ Mille-feuille ไส้ครีม hazelnut แป้งพัฟฟ์บางเบา อร่อยค่ะ สอดไส้ด้วยครีมแฮเซิลนัทและชอคโกแลตกานาช แทรกด้วยเมล็ดแฮเซิลนัท เวลาเคี้ยวมันๆดี


มาตรวจสอบภายในของ Ispahan หลังจากถูกทำลายไปแล้วครึ่งนึงกันดีกว่าค่ะ ฮ่า~ เมนูนี้หน้าตาก็เหมือนของร้าน Ladurée เลย เป็นมากาฮองกุหลาบ featuring กับครีมกลิ่นกุหลาบ ลิ้นจี่และราสพ์เบอร์รี่สด แต่แน่นอนว่ามงสิเออร์ปิแอร์ผู้เป็นเจ้าของตำรับนี้ย่อมจะต้องพัฒนาให้แจ่มกว่าของ Ladurée เพราะมติเป็นเอกฉันท์ว่าชิ้นนี้ของปิแอร์ แอร์เมอร่อยกว่าของลาดูเรค่ะ ส่วนตัวพิมมิยะคิดว่าเป็นเพราะกลิ่นและรสชาติเข้มข้น แถมยังกลมกล่อมกว่าของลาดูเร สุดยอดจริงๆค่ะคุณผู้อ่านขา ขอกดไลค์ให้ซักร้อยครั้งเลย


ทาร์ทวานิลลา แป้งบางกรอบ ตัวครีมวานิลลาก็หอมอบอวล เห็นเมล็ดวานิลลาแทรกอยู่เต็มไปหมด J เค้าชอบชิ้นนี้ค่ะ


มาถึงมากาฮองกันบ้างค่ะ วันนั้นซื้อมาชิมลางกันแค่ 4 ชิ้น จะเห็นว่ามากาฮองของปิแอร์ แอร์เมนั้นสอดไส้มาเยอะมาก ทำให้มากาฮองชิ้นออกหนากว่า และรสชาติเข้มข้นกว่าของลาดูเร แต่เรื่องรายละเอียดปลีกย่อย ไว้คราวหลังพิมมิยะจะมาเล่าให้ฟังอีกที กรุณาอดใจรอก่อนนะค้า~



สรุปแล้วขนมของมงสิเออร์ปิแอร์ก็เยี่ยมยอดสมกับที่ได้รับยกย่องให้เป็น “Picasso of Pastry” ซะจริงๆ ขอบอกว่าร้านนี้เป็นหนึ่งใน A Must สำหรับคนที่ปลาบปลื้มขนมหวาน ซึ่งส่วนตัวพิมมิยะแล้ว ร้านนี้ถือเป็นสวรรค์ดีๆนี่เองค่ะ อยากทานอีกจัง :D

Pierre Hermé Bonaparte
72 rue Bonaparte 75006 Paris









Pierre Hermé La Porte Aoyama








ピム宮 ~ pimmiya

3 comments:

  1. ทาร์ทวานิลลาน่ากินมาก >.<

    ReplyDelete
  2. เป็นร้านที่อยากไปชิมมากๆ อยากลิ้มลอง Ispahan สักครั้งในชีวิต!!

    Hazelnut mille-feuille น่ากินมากครับ โอย หิว

    ReplyDelete
  3. อร๊าย เอนทรี่นี้สเปเชี่ยลมาก ควบสองประเทศเลย

    ReplyDelete