Pages

Monday 28 May 2012

Berthillon

อากาศที่กรุงเทพฯเป็นอย่างนี้ เราไปชิมไอศครีมเพื่อดับร้อนกันบ้างดีกว่า นาโอะกับพีเคยส่งไอศครีมชื่อดังจากอิตาลีกับเจนีวาเข้าประกวดมาแล้ว รอบนี้พิมมิยะขอส่งผู้ท้าชิงจากปารีสมาลงสนามบ้าง ร้านนี้ชื่อ Berthillon เป็นร้านที่หลายสำนักยกให้เป็นไอศครีมที่อร่อยที่สุดในปารีส วันที่พิมมิยะกับเพื่อนๆไปนั้นก็บรรยากาศเป็นใจสำหรับการหม่ำไอศครีมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นวันที่อากาศร้อนที่สุดในทริปนั้นเลยค่ะ

ร้านแบร์ตีลองตั้งอยู่บนเกาะเล็กใจกลางแม่น้ำ Seine อย่าง Île Saint-Louis ที่อยู่ติดกับเกาะ Île de la Cité ที่ตั้งของมหาวิหาร Notre-Dame de Paris ตัวร้านมีทั้งส่วนที่ให้นั่งรับประทานในร้าน ซึ่งราคาแพงกว่า แล้วก็ส่วนที่เป็นตู้ไอศครีมให้ซื้อใส่โคนหรือใส่ถ้วยไปรับประทานข้างนอก แต่เรื่องสุดเซ็งของส่วนนี้ก็คือ ลูกค้าไม่สามารถขอเข้าห้องน้ำของทางร้านได้ค่ะ จะโดนพิมมิยะหักคะแนนก็ตรงเนี้ย

ตัวร้านต้นตำรับของแท้จะอยู่กลางเกาะ Île Saint-Louis เลย ใครที่ไปก็จะเห็นว่าร้านอาหารหลายร้านบนเกาะนั้นก็รับไอศครีมของร้านนี้ไปขายเหมือนกัน เห็นติดป้ายกันเต็มไปหมด แต่สำหรับร้านแม่หน้าร้านต้องเป็นแบบนี้นะคะ คิวยาวจริงอะไรจริง ได้ยินมาว่าไม่ว่าจะฤดูไหนคิวก็ยาวแบบนี้เหมือนกัน โอ้ว.. สุดยอดมากค่ะ



สำหรับเมนูไอศครีมของร้านนี้ก็มีทั้งแบบที่เป็นไอศครีมที่ทำจากนมหรือครีม (Glace) กับแบบที่ทำจากผลไม้ (Sorbet) กว่า 60 รส ซึ่งจะวางขายหมุนเวียนกันไปตามแต่ละช่วงฤดูกาล มีให้ลูกค้าได้เลือกชิมถึงวันละประมาณ 30 รส (อุ๊ย.. ละลานตามาก เลือกไม่ถูกเลย) จุดเด่นของไอศครีมร้านนี้นอกจากจะอร่อยแล้ว วัตถุดิบที่ใช้ทำก็ยังมาจากธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีการใส่สารกันบูด สารแต่งกลิ่นและรสเจือปนแต่อย่างใด


มีจอดิสเพลย์แสดงรสของไอศครีมที่วางขายวันนั้น


โคนก็มีให้เลือก 2 แบบ พิมมิยะเลือกแบบ waffle cone (อันซ้ายมือ) อร่อยดีค่ะ


ไอศครีม Chocolate กับ Cherry plum ของพิมมิยะ รสชอคโกแลตอร่อยมาก เนื้อไอศครีมเหนียวหนึบหนับถูกใจ รสชาติก็เข้มข้น เชียร์ให้สั่งรสนี้นะคะ ส่วนเชอร์รี่พลัมประหลาดไปหน่อยค่ะ เค้าใส่เหล้ามาด้วย ซื้อ 2 ลูก ราคา 3.50 € ถ้าซื้อลูกเดียวถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น 2.80 € แต่ถ้านั่งกินในร้านจะอัพราคาเป็นลูกละ 4 € เลย


รสมะม่วงของตันตัน อันนี้ก็อร่อย


ประชันกับ Extrabitter cocoa + Strawberry ของ J กับ Walnut raisin & chocolate และรสกล้วยของคุณถุง (โปรดสังเกตว่าโคนรสมะม่วงของตันตันแหว่งไปซะแล้วค่ะ ฮ่า~) หนุ่ม J เค้าบ่นว่ารส extrabitter cocoa ขมสมชื่อเลย เจ้าตัวเลยไม่ค่อยเอนจอยเท่าไหร่ แต่รสสตรอว์เบอร์รี่อร่อยดี ส่วน 2 รสที่คุณถุงสั่งมานี่อร่อยเลิศ แนะนำค่ะ

ร้านนี้ก็นับว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ห้ามพลาดหากคุณผู้อ่านได้มาเยือนปารีส การได้ละเลียดไอศครีมร้านดังพร้อมกับเดินชิลด์ๆริมแม่น้ำแซนในวันที่อากาศดีก็คงจะน่าประทับใจมิใช่น้อย ถ้ามีโอกาสแวะไปแถวนั้นก็อย่าลืมไปทดสอบดูว่าจริงอย่างที่พิมมิยะว่าไว้รึเปล่านะคะ :D








ピム宮 ~ pimmiya

Credit: คุณถุง สำหรับรูปหน้าร้าน รูปสวยมว้ากกกกค่า~

Monday 21 May 2012

Ladurée

สวัสดีค่ะ พิมมิยะหายหน้าไปปฏิบัติภารกิจซะนาน ครั้งนี้เลยจะขอจัดเต็มให้สมกับที่ห่างหายไปจากบล็อกด้วยการพาชิมอาหารอร่อยๆในปารีสพร้อมกับเพื่อนเลิฟอีก 4 คน ซึ่งจะขอเร่ิมต้นซีรีย์ปารีสด้วยการพาคุณผู้อ่านไปชิมขนมอร่อยๆจาก Ladurée ร้านดังที่ตอนนี้มีสาขาไปแล้วทั่วโลก สาขาที่พิมมิยะกำลังจะพาไปเป็นสาขาแรกของลาดูเร ซึ่งรับรองได้เลยว่าเราจะได้ลิ้มรสความอร่อยจากต้นตำรับกันเลยทีเดียวค่ะ

Ladurée สาขาแม่ตั้งอยู่ที่ rue Royale ซึ่งอยู่ระหว่างทางจากที่พิมมิยะกับเพื่อนๆเดินจาก Place de la Concorde ไปยังโบสถ์ Église de la Madeleine เดิมทีร้านนี้เปิดตั้งแต่ปี 1862 แต่ก็ถูกไฟไหม้ไปในปี 1871 ก็เลยมีการสร้างร้านขึ้นมาใหม่ตรงบริเวณที่เดิม ถ้าของเค้าไม่เด็ดจริงก็คงไม่อยู่ยั้งยืนยงมาถึง 150 ปีหรอกเนอะ


เมนูของทางร้านก็มีทั้งของคาวอย่างพวกออมเล็ต แซนด์วิช สลัด แต่พิมมิยะกับเพื่อนไม่ได้ลองชิม เพราะว่าตั้งใจมาชิมของหวาน โดยเฉพาะมากาฮองของร้านต้นตำรับ เค้าว่ากันว่าร้านนี้เป็นร้านแรกที่คิดค้นมากาฮองในแบบที่เป็นเมอแรงก์ 2 อันมาประกบกันแล้วทาไส้กานาชอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นการแหวกแนวจากมากาฮองแบบเดิมๆที่เป็นแบบเพลนๆ ไม่มีไส้



Mini macaron สารพัดรสที่เพื่อนๆสั่งมา มีทั้งรส Lemon, Chocolate, Raspberry, Pistachio, Vanilla, Salted caramel อันละ 2.20 € สำหรับนั่งทานในร้าน ถ้าซื้อกลับบ้านจะถูกกว่านี้หน่อยค่ะ


อันนี้ไส้ Salted caramel ค่ะ ไส้เยิ้มๆๆ เพื่อนสาวตันตันปลาบปลื้มรสนี้มว้ากกกก


เทียบไซส์มากาฮองปกติ (5.70 €) กับมินิมากาฮอง อันใหญ่นี่เป็นรสวานิลลา ของโปรดของคุณถุง ซึ่งเจ้าตัวย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องอันหย่ายๆ เท่านั้นถึงจะสะใจ!!


ของพิมมิยะสั่งอันนี้มาค่ะ หนึ่งในเมนูดังของร้าน Ispahan (9.90 €) ผลงานการสร้างสรรค์ของ Pierre Hermé พ่อมดแห่งวงการขนมหวานที่เดิมเป็นเชฟขนมให้ลาดูเร ก่อนที่จะดังแล้วแยกวงไปเปิดร้านของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีเมนูนี้บรรจุอยู่ในร้านของเค้าด้วย แล้วปัจจุบันนี้ Ispahan ระหว่าง Ladurée กับ Pierre Hermé ของใครจะเร่ิดกว่ากัน พิมมิยะขออุบไว้ก่อน เดี๋ยวไว้เอนทรี่ Pierre Hermé จะเฉลยนะคะ


Ispahan เป็นมากาฮองที่ผสมผสานกันระหว่างกุหลาบ ลิ้นจี่ และราสพ์เบอร์รี่ ฟังดูแล้วอาจงงว่าจะไปเข้ากันได้ไง เอามากาฮองกลิ่นกุหลาบมาสอดไส้ด้วยครีมรสกุหลาบ พร้อมลิ้นจี่และราสพ์เบอร์รี่สด แต่มันเป็น combination ที่เข้ากันมากเลยค่ะคุณผู้อ่านขา พิมมิยะว่าคนคิดเมนูนี้ขึ้นมานี่อัจฉริยะจริงๆ อยากจะกราบงามๆซักที ขอบคุณมงสิเออร์ปิแอร์ แอร์เม ที่ทำให้มีของอร่อยแบบนี้ให้พวกเราได้กินกัน (อ๊ะ ลืมไปค่ะว่ากำลังแนะนำลาดูเรอยู่ ไม่ใช่อีกร้าน แหะๆ)


และความบ้าเห่ออะไรแบบกุหลาบๆก็ทำให้พิมมิยะสั่งน้ำชากานี้มาชิม Thé á la Rose (6.90 €) แค่ชื่อก็ฟ้องแล้วแหละค่ะว่าเป็นชากุหลาบ ตามเมนูเค้าบรรยายไว้ว่าเป็น Black China and Ceylon tea with aromas and rose petals กานี้หอมมาก พิมมิยะเสียดายมากจนคุณชาย J ยุให้พิมมิยะมุบมิบเก็บถุงชาในกาใส่ถุงกลับโรงแรมไปชงกินต่อ พิมมิยะเลยทำจริงๆค่ะ (ทำไปได้ไงก็ไม่รู้ น่าเกลียดจริง เหตุจากความงกล้วนๆ ฮ่า~) ให้คิดดูนะคะ ขนาดเอากลับไปชงอีกรอบก็ยังหอมมากอยู่เลย


รอบนั้น J สั่งชา Thé á la Vanille -- Strong and fruity Darjeeling and Assam tea, flavoured with vanilla oil (6.90 €) ชากลิ่นวานิลลามาชิม กานี้ก็หอมมากอีกแล้วค่ะ แต่พิมมิยะก็ยังชอบชากุหลาบมากกว่าอยู่ดี ส่วนคุณถุง หนุ่มผู้ชื่นชอบกาแฟก็สั่ง Café aromatisé chaud -- Hot flavoured coffee กล่ิน Salted caramel (5.60 €) ถ้วยนี้ก็หอมอร่อยมากเลยค่ะ ขนาดปกติพิมมิยะทานกาแฟเยอะๆไม่ได้ ยังอดใจไม่ไหวแอบจิบไปซะเยอะเลย อิอิ

เนื่องจากของเค้าดีจริง เราก็เลยต้องจัดซ้ำซักมื้อก่อนจะอำลาปารีส คราวนี้ J เค้าสั่ง Chocolat Chaud Ladurée (6.90 €) ชอคโกแลตร้อนๆ อร่อยมากอีกแล้ว รสชาติเข้มข้นถูกอกถูกใจคนสั่งและคนแย่งชิมเป็นยิ่งนัก ส่วนคุณถุงโดนพิมมิยะยุให้สั่งกาแฟที่เอาชื่อร้านมาตั้ง คือ Café Ladurée (4.20 €) แต่อันนี้รสชาติน่าผิดหวังไปหน่อย อุตส่าห์ใช้ชื่อนี้แล้วเชียว คุณถุงเลยต้องย้ำแค้นด้วยการสั่ง Café aromatisé chaud ถ้วยโปรดมาสั่งลาปารีสอีกแก้วนึง ซึ่งก็อร่อยเหมือนเคยค่ะ


ส่วนพิมมิยะทีแรกตั้งใจจะสั่ง Thé ​Marie-Antoinette -- Delicious China tea mixed with essential oil of of subtle citrus fruit, rose and jasmine flowers flavour, scatterd with small pieces of dried fruit and honey (6.90 €) แค่เห็นชื่อและคำบรรยายก็ฟันธงได้ทันทีว่าอันนี้ต้องเป็นชาที่อลังการที่สุดในร้าน แต่ตันตันเพื่อนรักดันอยากชิมเหมือนกัน พิมมิยะเลยเปลี่ยนไปสั่ง Thé Mille et une nuits -- Green China tea flavoured with mint, ginger, orange blossom and rose (6.40 €) มาลองแทน ปรากฏว่าของพิมมิยะอร่อยกว่าค่ะ ฮ่า~ (แอบเยาะเย้ยเพื่อน อิิอิ) เป็นชาจีนกล่ินออกแนวแบบว่าเหมาะกับช่วงฤดูใบไม้ผลิย่างเข้าสู่ฤดูร้อนมาก หอมชื่นใจ จิบแล้วจินตนาการเห็นภาพสวนดอกไม้ลอยอยู่ในหัวเลย

ต้องยอมรับว่าเวลาจิบชาพร้อมๆไปกับเล็มมากาฮองทีละน้อยนี่มันเข้ากั๊นเข้ากันจริงๆค่ะ เหมือน 2 ส่ิงนี้เกิดมาเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน และแน่นอนว่ามากาฮองของ Ladurée ก็อร่อยซะจนทุกคนต้องซื้อใส่กล่องหิ้วกลับเมืองไทย แต่รายละเอียดความอร่อยพิมมิยะขอแปะไว้ก่อนนะคะ เอนทรี่นี้ชักจะยาวไปซะแล้ว ขอเก็บไปเล่าเรื่องมากาฮองอีกตอนนึงเลยดีกว่า

ขอปิดท้ายด้วยดิสเพลย์น่ารักๆของร้าน

และของกระจุ๊กกระจิ๊กที่ทางร้านก็ยังอุตส่าห​์ทำมายั่วลูกค้าอย่างเราๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า กล่องใส่เครื่องประดับ พวงกุญแจ ฯลฯ น่ารักมากมายค่ะ แต่แพงเกิ๊น พิมมิยะสู้ไม่ไหวนะค้า :D

Ladurée Royale
16 rue Royale 75008 Paris


ピム宮 ~ pimmiya

Sunday 20 May 2012

Soba Totto

ถ้าเมืองไทยมีร้านอาหารญี่ปุ่นที่แตกไลน์ออกไปอย่างโออิชิ/ชาบูชิ ที่นิวยอร์คก็ร้านในเครือของ Totto ที่ทำร้านอาหารญี่ปุ่น 3 แบบ 3 สไตล์ในนิวยอร์ค ร้านแรกก็ Totto Ramen ที่พีรีวิวไปแล้ว มาคราวนี้ พีจะขอนำเสนอ Soba Totto อีกหนึ่งร้านในเครือ Totto

ร้านนี้ไม่ได้เล็งไว้ในแผนที่อาหารแต่แรก แต่เผอิญว่าวันนั้นเป็นวันที่ต้องประชุมกันตั้งแต่ 8 โมงถึงสองทุ่ม พีกับสาว A เพื่อนร่วมงานจากนอร์เวย์เลยหาร้านใกล้ๆโรงแรมสำหรับมื้อเย็นหลังจากวันอันแสนโหดร้าย (12 ชม.นี่ทรมานใช่ได้เลยนะคะ กับการประชุม) เนื่องจากสาว A เป็นมังสวิรัติ เราเลยต้องหาร้านที่เราสองคนจะเอนจอยได้ พีเปิด yelp แล้วเจอร้านนี้ ได้รับคำชมค่อนข้างดี ก็เลยคิดว่า เออ ลองดู


ขนาดเรามาถึงร้านสองทุ่มกว่าแล้ว แต่โต๊ะก็เต็มหมด มีแต่เคาท์เตอร์ตรงบาร์เครื่องดื่ม เราเลยนั่งที่บาร์ สั่งเครื่องดื่มสั่งอาหารกัน


พีเป็นโรค Martini Fever เห็นเมนูมาร์ตินี่ที่ไหน ต้องตามไปสั่งตลอด ที่ร้านนี้พีเลยขอสั่ง Lychee Martini ซึ่งแบบว่าอร่อยมาก ที่เมืองไทยเค้าจะผสมเหล้าน้อยๆ น้ำผลไม้เยอะๆ แต่ที่นิวยอร์คนี่เค้าไม่หวงเหล้าจริงๆ แก้วเดียวก็จอดได้ แต่สิ่งสำคัญคือ คุณบาร์เทนเดอร์เธอทำผิดคะ สั่งแก้วเดียว เธอทำสองแก้ว เธอเลยยกอีกแก้วให้พีกับเพื่อนไว้ดูต่างหน้า เราเลยจัดการแก้วแถมคนละครึ่งแก้ว คราวนี้ได้เมาของจริงเลย แต่รสชาติเค้ากลมกล่อมมาก อร่อยจริงๆ แอบคิดถึงอยากกินคอกเทลอร่อยๆแบบร้านนี้อีก


มาถึงของคาว พีสั่งโซบะเป็ด อาหารโปรดประจำตัวเช่นเคย ถ้าเทียบที่เคยกินมา (Gonpachi ที่ชิบุยะ กับ Mukoujima Sumida ที่เซบุ อิเคบุคุโระ) ร้านนี้จะรสอ่อนสุด แต่ไม่เหม็นสาปเป็ดเลย น้ำซุปอร่อยมาก รสเบาๆ แทบจะซดน้ำซุปหมดชาม ทางของ A ที่สั่งเป็นโซบะผักรวม ก็ดูท่าทางจะอร่อยมากเหมือนกัน วิดน้ำกันแทบจะหมดชาม สนนราคาโซบะก็ตกชามละ 14 เหรียญ เครื่องดื่มอีก 12 เหรียญ ราคากลางๆสำหรับร้านในนิวยอร์ค ถ้าใครมาพักอยู่แถว midtown อยากได้ร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ แนะนำร้านนี้และร้านในเครือ Totto ทุกร้านเลยค่ะ

Soba Totto
211E 43rd St New York, NY 10017
Website: http://www.sobatotto.com/


View Larger Map

Friday 11 May 2012

Magnolia Bakery

ทานของคาวไปแล้วก็ต้องสลับมาของหวาน วันนี้พีขอแนะนำร้านที่ไม่ต้องการคำแนะนำมาก เพราะเป็นเหมือนสถานที่สำคัญสำหรับคนที่ไปนิวยอร์คต้องไปแวะอยู่แล้ว ซึ่งก็คือร้าน Magnolia Bakery ร้านนี้เป็นร้านคัพเค้กชื่อดังของนิวยอร์คซึ่งแฟนๆ Sex and The City คงจำได้ว่าเป็นร้านโปรดของ Carrie กับ Miranda ดังนั้นใครๆที่ได้ดูก็เลยอยากมาลองชิมสิว่าคัพเค้กแสนโปรดของสองสาวในเรื่องรสชาติเป็นอย่างไร แต่ถ้าหวังจะมาดูคัพเค้กในเอนทรี่นี้ของพี คงพูดได้แค่ว่าเสียใจด้วยค่ะ เพราะพีไม่ชอบคัพเค้กเลยไม่ได้ชิมมาฝาก แต่ว่ามีของเด็ดของ Magnolia Bakery แน่นอน




โรงแรมที่พีพักอยู่ไม่ไกลจาก Grand Central Station พีเลยแวะไปหาของกินที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง เลยเห็นว่ามีร้าน Magnolia Bakery ด้วย เห็นชีสเค้กเค้าน่ากินไม่หยอก พีลองถาม J เพื่อนสาวชาวนิวยอร์คว่ามันอร่อยไหม เธอบอกว่ามันไม่ใช่ของดังของร้านเค้านะ แต่ก็หาได้ทัดทานพีได้ไม่ วันรุ่งขึ้นหลังจากอาหารเย็นแล้วพีก็แวะซื้อ key lime cheesecake มาเตรียมไว้เป็นอาหารเช้าวันรุ่งขึ้น




คุณคะ แม้มันจะไม่ใช่ของดังของเค้า แต่มันอร่อยมากค่ะ ตัววิปครีมเหมือนเค้าผสมมะนาวลงไป ทำให้พอกินกับตัวชีสมันเข้ากันมาก พีคิดว่าตัวครีมชีสเค้าเป็น rare cheesecake คือชีสเค้กแบบไม่อบ เนื้อมันไม่แข็ง ค่อนข้างครีมมี่ นวลๆ ส่วนบิสกิตตัวล่างก็เข้ากั๊นเข้ากันกับครีมชีส ดูก้อนเล็กๆ แต่อิ่มจนจุกเลยทีเดียวค่ะ พีกินไม่หมดด้วย แอบเสียดายเหมือนกัน ขอบอกว่าคุ้มค่าราคา 6 เหรียญ




พอวันถัดมา พีก็นัดเจอกับสาว J ซึ่งหลังจากกินอาหารเย็นด้วยกันแล้ว เธอก็รีเควสขอไปซื้อขนมที่ Magnolia หน่อย เราเลยเดินไปร้านสาขา Rockefeller Center กัน ตอนนั้นสองทุ่มแล้ว คัพเค้กที่ J อยากซื้อก็หมดซะแล้ว เธอเลยซื้อ Banana Pudding ขนาดเล็กมากินด้วยกัน




J บอกว่า Banana pudding เจ้านี้อร่อยมาก พีออกจะกลัวนิดหน่อยตอนแรก กลัวรสกล้วยจะเยอะเกินไป แต่พอได้ชิมแล้ว โอ้ว มันอร่อยคะ เค้าใส่ชิ้นกล้วยกับชิ้นสปอนจ์เค้กลงไปในพุดดิ้งจริงๆ ตัวคัสตาร์ดก็ไม่หวานมากเกินไป กินด้วยกันแล้วก็เพลินดี (ในรูปสภาพไม่น่ากิน แต่ของจริงมันอร่อยนะคะ)


ร้านนี้เดินผ่านหาง่ายมากสำหรับคนไปนิวยอร์ค เพราะมีสาขาทั้งที่ Bloomingdale's ทั้ง Grand Central ทั้ง Rockefeller ถ้าใครผ่านไป อย่าลืมไปแวะชิมนะคะ

Magnolia Bakery
1240 6th Avenue,
New York, NY 10020
Website: http://www.magnoliabakery.com/home.php



View Larger Map

Wednesday 9 May 2012

Schnitzel & Things

ช่วงนี้เครื่องติดมาก อัพบล๊อคชนิดไม่เปิดช่องให้คนอื่นช่วยอัพเลย ฮ่าๆๆ อย่าเพิ่งเบื่อพีและของกินที่นิวยอร์คเลยนะคะ ไม่อยากให้ขาดตอนหรือลืมรายละเอียด

วันนี้เป็นวันแรกที่ M กลับบอสตันไป และพีก็ไปประชุมเต็มตัว ตอนแรกคาดหวังว่าจะได้กินมื้อเที่ยงแสนอร่อยที่โรงอาหาร UN แต่ปรากฎว่า UN ที่นี่เค้าไม่เหมือนที่เจนีวาเลย เค้าไม่มีโรงอาหารค๊า มีแต่คาเฟ่เล็กที่มีอาหารประเภทแซนวิช สลัด ซุปมาส่ง ดูแววแล้วต้องกินกันจนเบื่อขนมปังไปทั้งอาทิตย์ พีเลยออกไปพบผู้ใหญ่ตามนัดแล้วกะว่าไปหาของกินเอาดาบหน้าดีกว่า


หลังจากปฏิบัติภารกิตแล้ว ขณะนั้นก็เวลาเกือบบ่ายสง ท้องร้องจ๊อก นึกขึ้นมาได้ว่าเราเคยดูรายการทีวีที่พูดเรื่อง food truck หรือรถขายอาหารซึ่งไม่ได้มีแค่อาหารถูกๆไร้รสชาติอย่างที่คิด แล้วก็จำได้ว่ามีร้านขาย Schnitzel หรือไก่ชุบแป้งทอดสไตล์ออสเตรียที่ดังมากอยู่ร้านนึง เค้ามีทั้งรถขายอาหารที่จะจอดตามถนนในนิวยอร์ค และมีร้านที่ตั้งขายอาหารด้วย ชื่อ Schnitzel & Things พีเลยควักแผนที่แล้วเดินตามลายแทงไปร้าน


ร้านนี้เคยออกสื่อเยอะมาก ถ้าเป็นรถขายอาหารส่วนใหญ่ ใน7วันต่อสัปดาห์ เค้าจะจอดรถขายอาหารไม่ซ้ำที่กันเลย ถ้าใครอยากรู้ว่าไปจอดที่ไหน กี่โมงถึงกี่โมง ส่วนมากก็ต้องตามเอาจากในทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊คของร้าน ส่วนของร้าน Schnitzel & Things นี่ไปตามได้ที่ Schnitzel & Things Facebook และ Schnitzel & Things Twitter แต่ถ้าอยู่แถว East Midtown (ใกล้ๆตึก Chrysler และ United Nations Headquarter) พีแนะนำให้มาที่ร้านดีกว่า ร้านมีที่นั่งกินด้านในด้วย ไม่ต้องไปหาที่นั่งกินริมถนน (ตามคอนเซป Food Truck)


มื้อนี้พีสั่งเป็น Platter คือเลือกได้ระหว่าง Schnitzel ลูกวัวหรือไก่ + เครื่องเคียง 2 อย่าง + ซอส 1 อย่าง พีเลือกเป็นไก่ เลือกเครื่องเคียงเป็น Austrian Potato Salad กับ Roasted Beet & Feta Salad ซึ่งเป็นเครื่องเคียงตัวยอดฮิตของร้าน ส่วนซอสเนี่ย จริงๆควรจะได้แค่อย่างเดียว แต่ว่าคุณพี่ที่รับออเดอร์เห็นพีลังเล เค้าเลยบอก เอาไปลองเลยสองตัวที่เป็นทอปฮิต spicy mayo (ซึ่งเค้าผสมกับซอสศรีราชาบ้านเรา) กับ pesto mayo

ดูในรูป ดูไก่เย็นๆชืดๆ แต่ขอบอกว่าอร่อยมากเลยคะ มันกรอบนอกนุ่มใน กินกับซอสที่เค้าให้มาอร่อยมาก ส่วนเครื่องเคียง พีว่าพีพลาดที่สั่งสองอย่างพร้อมกันเพราะมันถูกปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชูไวน์ขาว คือเป้าหมายของมันก็คือการตัดความเลี่ยนของ Schnitzel แต่พอสองอย่างออกเปรี้ยวเหมือนกัน คนกินเลยทรมาน แถม portion มันใหญ่มาก กินเป็นอาหารมื้อนึงยังได้เลยค่ะ แน่นอนว่าพีกินไม่หมด ส่วนถ้าถามว่าชอบอันไหนมากกว่ากัน พีชอบบีทรูทมากกว่า มันอร่อยแล้วก็สดชื่นกว่า ตัวมันฝรั่งมันหนักไปหน่อย กินมากๆแล้วอืด จริงๆเครื่องเคียงอีกตัวที่เป็นตัวแนะนำเค้าคือ Sauerkraut ใครได้ลองอย่าลืมแวะมาส่งข่าวด้วยนะคะว่าอร่อยมั้ย

พีว่าราคามันสมเหตุผลเพราะกิน Platterนี้ไป ข้าวเย็นกินไม่ลงอีกเลยค่ะ อิ่มแน่นที่สุดในโลก ถือว่าคุ้มค่ะ อาจจะไม่ใช่ A must สำหรับนิวยอร์ค แต่ถ้าได้กินก็ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ

Schnitzel & Things
723 3rd Avenue
New York


Monday 7 May 2012

Lady M Confections

หลังจากที่ได้ชิมลางกับเครปเค้กของร้าน Lady M ไว้แล้วที่ร้าน Ippudo ตามเอนทรี่ New York Ramen Battle แล้ว วันนี้พีขอพาทุกท่านไปชิมเครปเค้กที่ร้าน Lady M Confections




ร้านนี้ถูกตาต้องใจพีตอนตามหาร้านขนมในนิวยอร์ค เพราะบอกตรงๆว่าพีจะไม่ค่อยถูกกับขนมแบบอเมริกัน อย่างคัพเค้ก ที่เนื้อแน่นและหนักหน่วง พีชอบขนมสไตล์ญี่ปุ่นมากกว่า ซึ่งโดดเด่นในความเบาของขนม ร้าน Lady M นี่ก็เป็นขนมสไตล์ญี่ปุ่น ใครๆก็พูดถึงแต่เครปเค้ก หรือ Mille Crêpes ของร้านนี้ว่าแสนอร่อย M เองก็บอกว่าเราต้องไปกินร้านนี้ให้ได้ หลังจากเดินเล่นใน Central Park ย่อยอาหารเที่ยงแล้ว เราก็ไปที่ร้าน Lady M Confections กัน




แน่นอนว่ามาร้านนี้เราต้องสั่งเครปเค้ก หรือ Mille Crêpes มาลิ้มลอง พีตัดสินใจสั่ง Strawberry Mille Feuille ไปอีกอย่างเพราะสตอเบอร์รี่ยั่วยวนมาก พร้อมชาและชาเย็นมาลิ้มลองคู่ขนม เครปเค้กที่นี่เค้าไม่มีซอสราดแบบบ้านเรานะคะ ขอบอกว่ารสชาตินุ่มนวลเบาๆ จะบอกว่าไม่หวานเลยก็คงไม่ใช่เพราะกัดไปจะรู้สึกความหวานติดลิ้นมานิดๆ




แต่สำหรับพี นางเอกของร้านนี้คือ Strawberry Mille Feuille ค่ะ อร่อยมาก กอไก่ล้านตัว ไม่เคยกินของเจ้าหน่อยอร่อยขนาดนี้มาก่อน ตัวครีมอร่อยมาก หวานหน่อยๆ แต่พอมากินกับสตอเบอร์รี่สดที่มีรสเปรี้ยวหน่อยๆ มันลงตัวมาก กล่อมกลอม เหมือนขึ้นสวรรค์ คุณพนักงานพอมาถามว่าเป็นยังไงบ้าง เราสองคนได้แต่ตอบว่า Very happy เธอก็คงรู้สึกขบขันว่าสองคนนี้ท่าจะอาการหนักเลยหัวเราะพร้อมบอกว่า "I'm glad." ลูกค้าร้านนี้มากันตลอดเลยคะ ยากคาดเดาว่าช่วงไหนเป็นช่วงพีคของร้าน เพราะพีมาบ่ายสองมีโต๊ะว่าง แต่หลังจากพีมาคนก็เต็มร้านไปหมด อ้อ ร้านนี้เค้ามีอาหารกลางวันด้วยนะคะ พวกสลัด แซนวิช ดูน่ารับประทานอยู่ (สังเกตว่าถ้าเป็นฝรั่งเข้ามาจะมากินแซนวิช แต่ถ้าเป็นกลุ่มคนเอเชียจะมากินขนมกันทั้งนั้นเลย)


ร้านนี้ขอโหวตให้เป็น A must เลยสำหรับคนที่จะไปนิวยอร์ค รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน


>>ต้องขอภัยที่รูปดูไม่สวยและลุกลี้ลุกลน เพราะรู้มาว่าร้านนี้เค้าห้ามถ่ายรูปขนม พีไม่แน่ใจว่าห้ามที่โต๊ะ หรือที่ตัวโชว์ก็เลยขอไม่ทำผิดกฎดีกว่า ถ้าใครอยากเห็นรูปขนมเต็มๆ ไปชมได้ในเวบเค้าเลยค่ะ แต่ดูรูปแล้วจะรู้สึกว่าทรมานมากเพราะอยากกินทุกอย่างเลย!<<


Lady M Cake Boutique
41 East 78th Street
New York, NY 10075

Website: http://www.ladym.com/





View Larger Map

Friday 4 May 2012

Shake Shack

เนื่องจากพีไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะได้ไปอเมริกาอีกเลย หลังจากที่ได้ไปตอนเด็กๆ (เพราะนั่งเครื่องไกล ทรมานมาก แถมขั้นตอนการขอวีซ่ายังชวนปวดหัว) พีเลยไม่เคยสนใจร้านอาหาร ของกินของที่นู่นเลย พอได้รู้ว่าจะต้องไปนิวยอร์ค พีเลยรีบหาตัวช่วย ขอไอเดียร้านอร่อยๆจากน้อง Tee (Passports and Postcards) เลยทันที ซึ่งแม้น้องเองจะไม่แน่ใจก็ยังอุตสาห์ไปถามเพื่อนมาให้ว่าร้านไหนเป็นยังไง ต้องขอบคุณน้องTeeมากจริงๆ


ร้านแรกที่โผล่ในลิสต์ของน้องคือ Shake Shack น้องบอกไม่เคยลอง แต่ว่าชื่อเสียงโด่งดัง ที่สำคัญร้านนี้มีสาขาที่คูเวตด้วย โอ๊ะ มันน่าสนใจก็ตรงมีสาขาที่คูเวตนี่แหละ พีเลยขอไปชิมร้านนี้ในวันแรกที่ไปถึงนิวยอร์คเลยทีเดียว


Shake Shack มีสาขาในนิวยอร์คอยู่ 7 แห่ง แต่สาขาที่คนแวะไปมากที่สุดน่าจะเป็น Theatre District เพราะเปิดถึงดึกสุดและใกล้ย่าน Times Square และโรงละครต่างๆ พีก็แวะไปสาขานี้เช่นกัน ไปถึงสองทุ่ม แต่คิวแอบทะลุหน้าร้านออกมา คนนั่งกินในร้านไม่ต้องพูดถึง แน่นที่สุดในสามโลก แต่โชคดีที่เคยอ่านรีวิวมาว่า อย่าท้อใจไปกับแถว เพราะแถวไปไวมาก




เนื่องจากไม่มีที่นั่ง พีกับ M เลยหอบหิ้ว Shake Shack กลับมากินที่โรงแรมแทน เราสั่ง ShackBurger เมนูเด่นของร้าน Cheese fries แล้ว M ก็สั่ง Vanilla Shake มาด้วย ขอเกริ่นนำจาก Cheese fries ก่อน เพราะประทับใจพีที่สุดสำหรับเมนูนี้ เค้าเอาชีสดิปใส่กระปุกมา กินกับเฟรนช์ฟรายอร่อยมาก ขอให้ลืม Cheese Fries ของ McDonaldsไปเลย กินตอนมันทอดร้อนๆอร่อยมาก กินตอนมันเย็นแล้ว (แถมข้ามคืน) ก็ยังอร่อยเหมือนเดิม ประทับใจสุดๆ แค่คิดถึงก็น้ำลายสอแล้ว




ส่วนตัวเบอร์เกอร์ เค้าทำออกมาเป็นสุกปานกลางค่ะ รสชาติก็อร่อยกว่ามาตรฐานเบอร์เกอร์ทั่วไปแน่นอน ส่วน M ที่สั่ง Double ShackBurger ไป จะออกแนวปลื้มมาก เธอบอกว่าเพราะไม่คิดว่ามันจะอร่อย เลยเหมือนเกินความคาดหวังไปมาก Vanilla Shakeก็อร่อยมาก (M บอกมาเพราะพีไม่ชอบเลยไม่รู้ว่ามันควรจะอร่อยยังไง)


สรุปความสำหรับ Shake Shack พีเข้าใจเลยว่าทำไมกระแสร้านนี้ถึงมี อาจจะไม่ได้อร่อยที่สุด แต่ถ้าเป็นเหมือน fast foodแล้ว พีว่าเค้าอร่อยในระดับหนึ่งเลยทีเดียว (แต่ราคานี่ไม่อาจจะเรียกว่าเป็น fast food ไก่กาได้) เค้าไม่ได้มีสาขาแค่นิวยอร์คนะคะ แต่มีที่ Miami, Washington DC, คูเวต และดูไบด้วย ใครผ่านไปก็ไปชิมกันได้


Shake Shack
สาขา Theatre District
691 8th avenue & 44th street
New York
Website: http://shakeshack.com/


View Larger Map

Thursday 3 May 2012

New York Ramen Battle: Totto Ramen vs. Ippudo NY

กินอาหารเช้าสไตล์สิงคโปร์ไปแล้ว มากินราเมงร้อนๆที่นิวยอร์คกับพีต่อเลยดีกว่านะคะ

หลายคนอาจจะงงว่า อ้าว เธอ ไปนิวยอร์ค ไหงกลับไปกินราเมงซะได้ อันนี้พีก็งงเหมือนกันค่ะ (ฮ่าๆๆ) แต่คงเป็นเพราะนิวยอร์คเป็น multi-cultural city มีอาหารนานาชาติให้ลอง แล้วไอ้ร้านที่พีอยากลองและได้ลองส่วนใหญ่ก็ดันกลายเป็นร้านญี่ปุ่นซะอย่างงั้น อีกอย่างเพื่อนสาว M ของพีที่อิมพอร์ตมาจากบอสตันก็อยากกินราเมงมากๆ เราสองคนเลยตะลุยกินราเมงสองร้านดังของนิวยอร์คในเวลาสองวันติด

Totto Ramen: ร้านดังซุปไก่


พีกะ M ไปถึงหน้าร้าน Ramen Totto ก่อนเวลาเปิดเกือบครึ่งชั่วโมงเลยเดินเล่นไปมา กลับมาที่ร้านใกล้เวลาเปิด เพิ่งเห็นว่าเค้ามีบอร์ดให้ไปลงชื่อเลยไปเขียนชื่ออะไว้รอเค้าเรียก โชคดีมากเพราะพอร้านเปิดเค้าก็เรียกทีละคนแล้วมาตัดที่ชื่อของพีพอดี เป็นกรุ๊ปสุดท้ายที่ได้เข้าไปกิน นอกนั้นยืนรอต่อไปอีกอย่างน้อย 20 นาที


ร้านเป็นร้านเล็กๆคูหาเดียวอยู่ชั้นใต้ดิน พีได้นั่งเคาเตอร์ มองหน้าคนทำครัวและอาหารอย่างแสนสบาย พ่อครัวคนทำนี่ญี่ปุ่นของแท้แน่นอน เพราะกันคิ้วทุกราย (ฮ่า) ได้ยินเค้าพูดภาษาญี่ปุ่นกันเราก็อุ่นใจยังไงบอกไม่ถูก

พีสั่งเป็น Totto Spicy Ramen ทอปปิ้งเป็นเมนมะ(หน่อไม้) แบบเผ็ด(ซึ่งเผ็ดจริงๆเพราะเค้าคลุกพริกมา ฮ่าๆๆๆ) ตัวราเมงเป็น paitan ramen ใส่น้ำมันเผ็ด ตัวซุปเค้าเป็นซุปไก่ รสจะเบาๆ ราเมงชื่อว่า spicy แต่พีว่าเบาๆไม่รุนแรง คนไทยกินกำลังสบายๆ หมูชาชูเค้าเนื้อแน่น แต่ไม่ถึงกับละลายในปาก ต้องอาศัยแรงเคี้ยวอยู่หน่อยๆคนที่ชอบรสอ่อนๆ ไม่ชอบราเมงเค็มๆคงชอบ Totto แน่ๆ

Totto Ramen
366 W 52nd Street (Bet. 8th & 9th Ave)
New York, NY 10019
http://tottoramen.com/

Ippudo NY: รสชาติคลาสสิคของฮากาตะ

(รูปหน้าร้านถ่ายตอน 16.15 น. ซึ่งมีคนมาเข้าคิวรอกินรอบเย็นที่เปิดตอน17.00 น. กันแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าร้านนี้ฮิต)

วันรุ่งขึ้นพีต้องออกไปประชุมก่อนตอนเช้าแถว wall street เลยนัดไปกิน Ippudo กับ M และเพื่อนๆ M ตอนบ่ายสอง ไปถึงที่ร้านเพื่อนของ M บอกว่า อุ๊ย ไม่มีแถว ที่ไหนได้ เข้าไปในร้านนั่งรอกันเต็มเลย เราก็เลยต้องสั่งดริงค์แล้วก็ยืนรออยู่ที่บาร์กันก่อน

บาร์ดูฮิพแบบเอเชี่ยน
รับสาเก หรือเหล้าบ๊วยมั้ยคะ

รอประมาณ 20 นาทีก็ได้โต๊ะ เมนูที่นี่จะคล้ายๆกับที่สิงคโปร์ ซึ่งหมายถึงแตกต่างจากญี่ปุ่นแบบสิ้นเชิง


ที่ญี่ปุ่น จะมีแค่ราเมง 3 แบบ กับเมนูประจำฤดูกาล เกี๊ยวซ่า และข้าว แต่ที่นี่จะมี appertizer และราเมง หลากหลายรูปแบบมาก แต่ราเมงหลักๆยืนพื้นก็มีสามอย่างเช่นเคย คือ Shiromaru, Akamaru และ Karaka men เราเลือก appertizer 2 อย่างมาแชร์ เลือกที่เป็นซีฟูดกับไม่มีเนื้อสัตว์เพราะมีเพื่อนที่ไม่กินเนื้อวัวกับหมูค่ะ (และพีว่านี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เมนูIppudoที่นิวยอร์คจะมีราเมงหลายแบบ เพราะคนเป็นมังสวิรัติกันเยอะมาก คนที่พีเจอในทริปนี้ร้อยละ30 เป็นมังสวิรัติทั้งสิ้น) เราเลิือก Kani Cream Croquette กับ Avocado & Tofu Tartar มาลอง

Kani Cream Croquette

Avocado & Tofu Tartar

Croquette อร่อยมากค่ะคุณขา อร่อยมากจริงๆ ซอสคอกเทลที่ราดมาแบบอร่อยมาก อร่อยสุดๆ แต่ก็น้อยสุดๆเช่นกัน ต้องละเลียดกินเลยทีเดียว ส่วนตัว Avocado & Tofu Tartar แบบว่างงมาก เป็นเต้าหู้วางบนเส้นแก้วแล้วเอาอะโวคาโด้วางพร้อมบางสิ่งที่เหมือนจะเป็นไข่ปลา แต่ชิมแล้วเราว่าไม่ใช่ มาพร้อมกับเดรซซิ่งงากับน้ำเชื่อมจากน้ำตาลดำ มันก็ไม่แย่ แต่มันงงมากกว่า กินไปงงไปจุดนั้น

และแล้วก็มาถึงพระเอกของงาน Akamaru Modern ทอปปิ้งไข่ต้ม ของพี เมนูประจำตัว และเป็นเมนูตรวจเช็คมาตรฐานของร้าน Ippudo ทั่วโลกก็ว่าได้ ชิมรสชาติแล้วรู้สึกว่าที่นี่ไม่เข้มข้นเท่าของที่ญี่ปุ่น (แต่กินจนจบแล้วก็เค็มเหมือนเดิม ฮ่าๆ) แล้วเหมือนเค้าใส่กะหล่ำปลีในราเมงซึ่งพีจำไม่ได้ว่าที่อื่นใส่กะหล่ำปลี (พีจำผิดรึป่าว นาโอะ พิมมิยะ จำได้ไหม?) แต่อย่างอื่น ขอบอกว่าอร่อยเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน หมูสามชั้นก็ยังคงนุ่มละลายในปากเหมือนเดิม อร่อยมาก ฟินที่สุดวินาทีนั้น

เครปเค้ก
Matcha Brulee

แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเราจะจบเด็ดขาด ต้องเก็บท้องไว้สำหรับของหวาน พระเอกออกโรงไปแล้ว คราวนี้ขอนางเอก(แฝด)ออกงานบ้าง เครปเค้กแสนอร่อยจากร้านขนมดังสไตล์ญี่ปุ่นของนิวยอร์ค Lady M กับ Matcha Brulee เสิร์ฟพร้อมไอสครีมชาเขียว พีไม่แน่ใจว่าตัว Creme Brulee นี่ร้านทำเองหรือไปรับของที่ไหนมาเพราะเค้าไม่ได้บอก แต่รู้อย่างเดียวว่าอร่อยมาก กอไก่ล้านตัว อร่อยมากๆจากใจคนไม่ชอบ Creme Brulee รสชาติลงตัวมาก ไม่ไหวเกินไป กินกับชาเขียวยิ่งอร่อยมากกว่าเดิม ส่วนเครปเค้ก ยังไม่ขออธิบายในความเทพ เพราะจะเก็บไว้รีวิวเอนทรี่หน้าที่เราไปเยี่ยมร้าน Lady M ถึง Upper East Side เลยทีเดียว

Ippudo NY
65 Fourth Avenue (Between 9th and 10th Street)
New York, NY 10003
http://www.ippudony.com

ถ้าเทียบสองร้าน สำหรับพี พีว่า Ippudo ก้าวข้ามผ่านคำว่าร้านราเมงไปแล้ว Ippudo กลายเป็นร้านอาหารที่ขายราเมงเป็น specialities ลูกค้าที่เป็นมังสวิรัติหรือมีข้อจำกัด สามารถมานั่งกินและดื่มพร้อมกับเพื่อนคนอื่นได้โดยไม่รู้สึกอะไร (ที่ร้านมีราเมงมังสวิรัติอยู่หนึ่งเมนูค่ะ เป็น Wasabi Shoyu Ramen น้ำซุปก็เป็นน้ำสต๊อกผัก) ในขณะที่ Totto Ramen จะเป็นร้านราเมงแบบญี่ปุ่นแท้ๆเลย ทุกคนนั่งกินแล้วก็ไป ขายแค่ราเมงไม่สนอย่างอื่น เครื่องเคียงไม่มี แต่ราคาราเมงสองร้านไม่หนีกันเท่าไหร่นะคะ ประมาณ 14 ดอลลาร์

ถ้าเทียบเรื่องรสชาติ พีและ M ให้ Ippudo ชนะเลย คงเพราะเราสองคนชอบความเข้มข้นแบบทงคตสึราเมงสไตล์ฮากาตะ ซุปใสไพตันแบบ Totto ใช่ว่าจะไม่อร่อย แต่แค่ไม่ถูกปากเราเท่ากับ Ippudo มากกว่า ดังนั้น พีจึงขอให้ Ippudo ชนะในสังเวียนนี้ไปค่ะ

ใครได้ลองทั้งสองร้าน เปรียบเทียบแล้วชอบแบบไหนเอามาบอกกันได้นะคะ