Pages

Sunday 29 July 2012

Tsukiji Sushidai 築地すし大


สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน เห็นช่วงนี้นาโอะเค้าฟิตอัพบล็อกบ่อย พิมมิยะแอบละอายที่อู้อยู่ซะนาน ก็เลยขออัพกะเค้าบ้าง ฮ่า~ หมู่นี้พิมมิยะกำลังอยู่ในโหมดซูชิขึ้นสมอง วันๆอยากทานแต่ปลาดิบ ดังนั้นวันนี้จะขอพักจากร้านอาหารในฝรั่งเศสเป็นการชั่วคราว แต่จะพาไปชิมซูชิอร่อยๆแถวตลาดปลา Tsukiji กันนะคะ

เพื่อป้องกันความสับสน พิมมิยะขอเท้าความนิดนึง เพราะตัวเองก็เคยงงๆและเกือบจะไปผิดร้านมาแล้ว ร้านซูชิที่ชื่อ Sushidai แถวตลาดซึคิจิมีด้วยกัน 2 ร้านนะคะ ร้านแรกอยู่กลางตลาดปลาเลย เป็นห้องเล็กๆ ใช้ชื่อว่า Sushidai แต่เขียนด้วยอักษรคันจิทั้งหมดเป็น 寿司大 เค้าว่ากันว่าซูชิร้านนี้สุดยอดมาก แต่พิมมิยะยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง ส่วนอีกร้านที่จะไปชมกันในเอนทรี่นี้ ใช้ชื่อว่า Tsukiji Sushidai (築地すし大) ค่ะ ที่จริงพิมมิยะตั้งใจจะไปร้านแรก แต่พอไปถึงก็ต้องแห้วรับประทานเพราะร้านปิด (ตอนนั้นลืมเช็คในเว็บว่าร้านเค้าปิดวันอาทิตย์ค่ะ ความผิดของพิมมิยะเอง โฮ~ เค้าขอโทษนะนาโอะ) เลยต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันมากินที่ Sushidai ร้านหลังแทน เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์มาจากคนรู้จักว่าอร่อยมาก อย่างนี้ก็ต้องขอพิสูจน์กันหน่อยเนอะ

ร้านนี้แถว Tsukiji มีด้วยกันทั้งหมด 3 สาขา (นอกนั้นอยู่ที่ Ginza และ Chiba อย่างละสาขาค่ะ) พวกเราเลือกไปชิมที่สาขาแม่ของร้านนี้ซึ่งอยู่ริมถนน Harumi Dori ไม่ไกลจากตลาดปลาเท่าไหร่ จะเดินมาจากสถานี Tokyo Metro Tsukiji หรือจะมาจากสถานี Tsukijishijo ของ Toei Oedo Line ก็สะดวก ตอนที่เดินไปถึงร้านนั้นเป็นตอนเที่ยงแล้ว ลูกค้ายืนรอคิวกันยาวมาก พวกเราเลยทำใจสู้ลมหนาวของต้นเดือนม.ค.ยืนต่อคิวกะเค้าด้วย อารมณ์มาถึงที่แล้ว พวกชั้นต้องได้กินดิ เหอๆ


เมนูที่แปะอยู่หน้าร้าน (ถ่ายได้ชัดมาก -_-“)


ข้างในร้านมีเมนูภ.อังกฤษให้ด้วย

ส่วนคุณเชฟท่านนี้ก็สปีคอิงลิชพอได้ กะเหรี่ยงอย่างพวกเราเลยโชคดีไป


วันนั้นพิมมิยะสั่งเซต Kachi doki 2,940 เยนไปค่ะ ประกอบไปด้วยซูชิ 9 คำ บวกกับมากิ (ข้าวห่อสาหร่าย) อีก 1 โรล ซูชิค่อยๆถูกทยอยทำและเสิร์ฟทีละคำ ทำให้พิมมิยะ นาโอะ และคุณผู้ชายของนาโอะ (ซึ่งต่อไปนี้จะขออนุญาตเรียกว่า เอสซัง) ได้หม่ำซูชิไปทีละคำพร้อมๆกัน ไม่ต้องมานั่งทนหิวดูเพื่อนทานระหว่างที่รอซูชิของตัวเอง (เวลาที่ต้องนั่งรอ แล้วเห็นเพื่อนทานอย่างเอร็ดอร่อย มันทรมานจิตใจมากเลยนะคะคุณผู้อ่านขา)


Tamagoyaki มาเสิร์ฟก่อนใครเพื่อน ไข่หวานย่างของร้านนี้อร่อยมากค่ะ


Amaebi กุ้งหวาน หวานได้ใจจริงๆ ฮุๆๆ อร่อยคุ้มค่ากะที่ต้องยืนรอ


ซุปเต้าเจี้ยว ใส่ปลามาด้วย


พิมมิยะชอบคำนี้ที่สุดในเซตค่ะ หอยอะไรซักอย่าง ไม่รู้จักชื่อ หวานแบบธรรมชาติ กรุบกรอบหน่อยๆ กรี๊ดค่ะ กรี๊ดดดดด..


Ika ปลาหมึกร้านนี้ก็อร่อยค่ะ ไม่เหนียวเลย เนื้อหวานด้วย


ได้ Maki มา 6 คำ เป็น Maki negitoro กับอะไรก็ไม่รู้ แหะๆ


ตั้งแต่เคยทาน Uni มา ไม่เคยเห็นสีแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ แรกเห็นนี่แอบโวยวายอยู่ในใจ นึกว่าคุณเชฟให้อุนิเน่ามา ฮ่า~ แต่เห็นสีขี้เหร่อย่างนี้ ที่จริงแล้วอร่อยมากค่ะ หวาน นุ่มๆฟูๆอยู่ในปาก ไม่เหม็นเลย เพิ่งมาอ่านเจอทีหลังว่าสีของอุนิจะต่างกันไปขึ้นกับน้ำทะเล แต่เชื่อมั้ยคะว่านี่เป็นอุนิที่อร่อยกว่าร้านอื่นที่เคยทานมา :D


Ootoro ร้านนี้ก็เทพมาก ละลายในปากจริงๆ


Anago ปลาไหลทะเล ร้านนี้เค้าก็ย่างเอง อร่อยค่ะ (แต่ยังสู้ Sushi no Midori ไม่ได้)


อันนี้ Ikura ไข่ปลาแซลมอน ลักลอบถ่ายมาจากเซตของนาโอะ เห็นนาโอะบอกว่ารสชาติดี ไม่เค็มเกินไปค่ะ แต่เซตของพิมมิยะไม่มีอันนี้อะ แงๆ อยากทานมั่ง


เนื่องจากเอสซังสั่งเซตแพงสุด (Omakase set 3,675 เยน) ซึ่งทางร้านจะให้เลือกคำสุดท้ายได้ตามใจชอบ ยกเว้นอย่างเดียวคือ Botan ebi (กุ้งโบตัน) เอสซังเลยจัดเต็มค่ะ ได้ Ootoro มาอีก 1 คำ เริ่ดม้ากกกก






ถึงแม้จะไม่ใช่ซูชิไดร้านที่ตั้งใจจะไปชิมทีแรก แต่ร้านนี้ก็ไมทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด เป็นหนึ่งในร้านซูชิที่พิมมิยะยกให้ความอร่อยอยู่ในอันดับต้นๆเลย ถือว่าเป็นหนึ่งในร้านซูชิคุณภาพ สมกับที่อยู่ย่านตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลกจริงๆค่ะ :D

ピム宮 ~ pimmiya

Saturday 28 July 2012

Kamakura Kamameshi ~ 鎌倉釜飯 かまかま 本店

สวัสดีค่ะ

วันนี้นาโอะมานำเสนอเมนูอาหารญี่ปุ่นอีกเมนูนึงนั่นคือ ข้าวอบ นั่นเองค่ะ ร้านนี้มีชื่อว่า Kamakura Kamameshi หรือเรียกว่าร้าน KamaKama ก็ได้ค่ะ

ตอนไปเที่ยวคามาคุระ พิมมิยะลิสต์ร้านอาหารที่อยากจะไปลิ้มลองเอาไว้ เราสองคนก็ช่วยกันเลือกว่าจะกินร้านไหนดี พอเลือกได้และไปถึงหน้าร้าน ปรากฏว่าร้านนั้นปิดค่ะ โฮ~ ผิดแผนอย่างแรง เราก็เลยเดินไปเดินมาหาอาหารกลางวันกินระแวกใกล้ๆ JR Kamakura มาเจอร้านนี้ค่ะ คนเยอะพอประมาณ ต้องยืนรออยู่แปบนึงถึงจะได้เข้าร้าน ระหว่างยืนรอก็ยืนเลือกเมนูที่อยู่หน้าร้านไปพลางๆ ค่ะ

ป้ายร้าน

เมนูหน้าร้าน

หลังจากยืนเลือกเมนูหน้าร้านแล้ว ก็ยังเข้ามาเลือกเมนูในร้านต่อค่ะ ฮ่า น่ากินทุกอย่างเลย โฮฮฮฮ

เมนูปลาข้าวสาร

เมืองคามาคุระเค้าดังปลาข้าวสารค่ะ ที่จัดว่าเป็นอาหารท้องถิ่นก็จะเป็นปลาข้าวสารดิบ (Nama Shirasu) ร้านนี้ก็มีให้ทานนะคะ แต่วันที่นาโอะไปมันหมดซะก่อน คุณผู้ชายอดชิมเลย (คุณผู้ชายสั่งแล้วมันหมดอะค่ะ)

เมนูอื่นๆ

หม้ออบ

ข้าวอบหน้าไก่กับปลาข้าวสาร

นาโอะกับพิมมิยะสั่งไก่กับปลาข้าวสาร (ไม่ดิบ) ค่ะ รสชาติอร่อย เนื้อไก่ก็ด้านๆ ตามสไตล์ไก่สับของญี่ปุ่นอะค่ะ ปลาข้าวสารอร่อยมากกกกก ปริมาณเยอะพอควรค่ะ แต่เนื่องจากหิวจัด เลยซัดซะเกลี้ยง แหะๆ

ข้าวอบหน้าไข่ปลากับปลาข้าวสาร

ส่วนของคุณผู้ชายสั่งข้าวอบหน้าไข่ปลากับปลาข้าวสารค่ะ (shirasu tarako) เนื่องจากผิดหวังจากปลาข้าวสารดิบที่หมด เมนูนี้ก็รสชาติดีเหมือนกันค่ะ (ตามคำบอก) แหะๆ

เวลาทานต้องตักออกมาใส่ถ้วยที่เค้าเตรียมไว้ให้ค่ะ สามารถเลือกทานได้ 4 แบบ (Hitsumabushi) คือแบบธรรมดาไม่ผสมอะไรเลย, แบบธรรมดาใส่น้ำซุบ, แบบผสมเครื่อง (ต้นหอม, วาซาบิ, สาหร่าย) หรือ แบบผสมเครื่องใส่น้ำซุบก็ได้ค่ะ

แบบธรรมดา


แบบผสมเครื่อง


ร้านนี้มีทั้งหมด 3 สาขาค่ะ สาขาต้นตำรับอยู่ที่คามาคุระนี่ อีกสาขานึงอยู่ที่ฟูจิซาวะ และสาขาสุดท้ายอยู่ที่โอซาก้าค่ะ


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

ถ้าคุณผู้อ่านได้มีโอกาสไปเยือนคามาคุระอย่าลืมแวะไปทานข้าวอบร้านนี้นะคะ รับรองไม่ผิดหวังค่ะ

แล้วพบกันใหม่ค่ะ
nao~

Thursday 26 July 2012

pâtisserie Sadaharu AOKI


สวัสดีค่ะ เอนทรี่ก่อนหน้าได้ชิมหมูแดงอร่อยขั้นเทพจากนาโอะกันไปแล้ว ครั้งนี้พิมมิยะจะพาทัวร์ร้านในปารีสกันต่อนะคะ ร้าน pâtisserie Sadaharu AOKI เป็นร้านลูกครึ่งญี่ปุ่น-ฝรั่งเศส ที่ว่าเป็นลูกครึ่งก็เพราะว่า Sadaharu Aoki ซัง เจ้าของร้านนี้เป็นชาวแดนอาทิตย์อุทัยที่หลงใหลในการทำขนมสไตล์ฝรั่งเศส จนดั้นด้นไปฝึกงานที่ร้านขนมชื่อดังในสวิสและฝรั่งเศส ก่อนจะได้ทำตามฝันคือเปิดร้านแรกของตัวเองขึ้นในปารีสเมื่อปี 2001 ว้าวๆๆ สุดยอดไปเลยเนอะ


ขนมของร้านนี้มีจุดเด่นตรงที่เป็นการผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโอเปร่าเค้กที่ทำจากชาเขียว เอแคลร์ไส้งา/ชาเขียว ไปจนถึงมากาฮองรสวาซาบิกันเลยทีเดียว โอ้วววว อย่างงี้จะให้คนที่ชอบอะไรแบบญี่ปุ๊น..ญี่ปุ่น..อย่างพิมมิยะพลาดได้ยังไงล่ะคะเนี่ย

เท่าที่ทราบ สาขาของร้านนี้ในปารีสไม่มีที่นั่งรับประทานในร้านนะคะ เราเลยต้องซื้อใส่กล่องมากินนอกร้าน รอบแรกพิมมิยะซื้อ Matcha mille-feuille กับ Éclair sesame มาจาก Galeries Lafayette (ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะชิ้นละ 4.80 ) มาเป็นอาหารเช้าของวันรุ่งขึ้นทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่ามิลเฟยต้องหายกรอบแหงๆ และแล้วก็ไม่กรอบตามที่คาดไว้จริงๆ แต่รสชาติดีมาก ชาเขียวหอมสะใจ คาดว่าถ้ากินใหม่ๆตอนแป้งกรอบๆนี่ต้องสุดยอดมากแน่ๆ

ส่วนเอแคลร์ก็มีกลิ่นงาหอมดี แต่พิมมิยะว่าชิ้นนี้ไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่นะคะ ยังสู้มิลเฟยไม่ได้


รอบสองนี่ไปซื้อพร้อมกับเพื่อนๆ สั่งขนมมาแบ่งกัน 3 อย่าง ตบท้ายด้วยมากาฮองอีก 4 ชิ้น
ด้านในกล่อง.. นอนเรียงกันอย่างสวยงาม


ชิ้นแรกนี่เป็นไฮไลท์ของร้านนี้เลยค่ะ มีชื่อว่า Bamboo (5.80 ) อะโอกิซังเอาโอเปร่าเค้กมาทำเป็นสไตล์พี่ยุ่นโดยจับสปันจ์เค้กชาเขียวมาแมทช์เข้ากับคู่ขวัญตลอดกาลอย่างถั่วแดง กลายเป็นผลงานที่ขายดีที่สุดชิ้นหนึ่งของร้านเลยทีเดียว ทุกคนลงมติเป็นเสียงเดียวกันค่ะว่าชิ้นนี้อร่อยมาก ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ชาเขียวนี่อย่าได้พลาดเชียว กลิ่นจัดจ้านถูกใจพิมมิยะมาก มัทฉะญี่ปุ่นของแท้ต้องเข้มข้นแบบนี้ค่ะ :D


ชิ้นที่ 2 นี่ก็ดังไม่แพ้ชิ้นแรกเลย อันนี้ก็แนวโอเปร่าเค้กเหมือนกัน แต่ใช้ส่วนผสมจากงาทั้งดำและขาวมาเข้าคู่กับชาเขียว แล้วตั้งชื่อเรียบๆง่ายๆว่า Zen (5.50 ) พิมมิยะคิดว่าชิ้นนี้กลิ่นและรสไม่ค่อยกลมกล่อมซักเท่าไหร่นะคะ สรุปว่าทุกคนในก๊วนไม่ปลื้มเท่าไหร่


อีกชิ้นนึงตันตันเป็นคนเลือกค่ะ ชื่อ Duomo chocolat (5.30 ) เป็นชอคโกแลตมูสสอดไส้ด้วยลูก fig กับ apricot ชิ้นนี้ก็อร่อยนะคะ ชอคโกแลตมูสเข้มข้นดี


มาถึงมากาฮองที่ซื้อมาทดลองแค่ 4 ชิ้น ที่จริงทางร้านมีรสให้เลือกกันอย่างจุใจ แต่พวกเราอยากลองของแปลกก็เลยเลือกมาเฉพาะรสที่คนอื่นเค้าไม่ทำขายกัน

-Wasabi รู้สึกผิดคาดเพราะไม่ค่อยได้กลิ่นวาซาบิเลย นึกว่ากลิ่นและรสจะหนักกว่านี้ สรุปว่าชิ้นนี้ไม่ผ่านค่ะ

-Matcha ชิ้นนี้หอมชาเขียวมากๆๆๆ อร่อยที่สุดในบรรดา 4 ชิ้นเลย

-Houjicha หอมชาโฮจิฉะ ชาชนิดนี้เป็นใบชาเขียวที่เค้าเอามาคั่ว ทำให้กลิ่นออกไหม้นิดๆ แปลกจากชาเขียวทั่วไป (ถ้าใครนึกไม่ออกว่าเป็นยังไง ขอเชิญทดลองได้ที่ Starbucks นะคะ เห็นมีเมนูพิเศษช่วงนี้อยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีถึงเมื่อไหร่) สรุปว่ารสนี้ก็อร่อยดีค่ะ

-และสุดท้าย ส้ม Yuzu กลิ่นหอมใช้ได้ แต่พวกเพื่อนๆไม่ค่อยชอบกัน


ถึงตอนนี้ pâtisserie Sadaharu AOKI ก็มีสาขาทั้งที่ปารีส โตเกียว และไทเปเอาไว้ให้พวกเราเลือกไปชิมกันตามอัธยาศัยแล้วนะคะ (พิมมิยะก็แอบเล็งสาขาที่โตเกียวเอาไว้ มีหลายสาขาเลยที่มีที่ให้นั่งทานในร้าน แต่ไม่รู้จะมีโอกาสจะได้ไปรึเปล่า) และหลังจากที่เอาขนมมายั่วกันพอหอมปากหอมคอ พิมมิยะก็ต้องขอลาไปแต่เพียงเท่านี้ก่อน พบกันใหม่ครั้งหน้าค่า~ :D

ピム宮 ~ pimmiya

Wednesday 25 July 2012

Chan Kong Kei ~ 陳光記飯店

สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน

เอนทรี่นี้จะมาแนะนำร้านห่านย่าง เป็ดย่าง และหมูแดงเจ้าดังแห่งมาเก๊ากันค่ะ คุณผู้อ่านที่เคยไปเที่ยวมาเก๊าและหาข้อมูลร้านอาหารในมาเก๊าคงเคยได้ยินร้านเป็ดย่าง ห่านย่าง หมูแดงเจ้าดังที่ชื่อ Chan Kong Kei มาบ้างนะคะ เอนทรี่นี้จะมาคอนเฟิร์มความอร่อยของร้านนี้กันค่ะ

คุณผู้ชายของนาโอะเค้าเคยเล่าว่า ที่มาเก๊ามีร้านหมูแดงอร่อยมากกกกกกกอยู่ร้านนึง ไม่เคยกินหมูแดงที่ไหนอร่อยเท่าร้านนี้มาก่อน บังเอิญเค้าเดินผ่านหน้าร้านนี้แล้วเห็นคนต่อแถวยาวเหยียด ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็เลยไปต่อแถวบ้าง พอได้ลิ้มลองแล้วก็ประทับใจสุดๆ เค้าบอกว่า ไปมาเก๊าครั้งนี้ เค้าจะพานาโอะไปชิมให้ได้ แต่นาโอะเองก็เตรียมข้อมูลไปค่ะ หาข้อมูลไว้ว่าร้าน Chan Kong Kei เป็นร้านเก่าแก่ดั่งเดิมขายมานานและอร่อยมาก เลยตั้งใจจะไปชิมร้านนี้ให้ได้ดังที่เค้ารีวิวกันมากมาย แต่คุณผู้ชายก็บอกว่า ไปกินร้านที่คุณผู้ชายเคยไปกินดีกว่าเพราะมันต้องอร่อยกว่าร้านที่นาโอะหามาแน่ๆ ผลปรากฏว่า มันคือร้านเดียวกันค่ะ ฮ่า

หน้าร้านแขวนกันเป็นตับขนาดนี้ แสดงว่าขายดีมว๊าก

เนื่องจากนาโอะทาน Brunch มาแล้วตอนประมาณ 10 โมงกว่า เวลานั้นเป็นเวลาเที่ยงนิดๆ เดินผ่านมา (จริงๆ ไม่ได้ผ่าน แต่ตั้งใจเดินมา) ที่ Chan Kong Kei พบว่า ไม่มีคนต่อแถวเลย เย้ ดังนั้น ถึงแม้ยังไม่หิว เราก็จะเข้าไปชิมกันค่ะ นาโอะเลยสั่งข้าวหน้าหมูแดงกับห่านย่างมา 1 จาน (แบ่งกันสองคน)


ข้าวหน้าหมูแดงและห่านย่าง 55 เหรียญ

จานนี้ราคา 55 เหรียญค่ะ ปริมาณไม่น้อยเลยทีเดียว ต่อให้ไม่กินอะไรมาก่อน ก็อาจจะกินไม่หมดได้เหมือนกันค่ะ -*-

ห่านย่าง...นาโอะไม่ค่อยประทับใจอะค่ะ ปกติเป็นคนชอบกินเป็ดย่างมาก แต่พอมาชิมห่านย่าง ส่วนตัวว่าเนื้อมันเหนียว + เหม็นสาปไปหน่อย แต่ถ้าคุณผู้อ่านที่ชอบห่านย่าง ก็อาจจะชอบก็ได้นะคะ

ส่วนไฮไลท์สุดๆ คือ หมูแดงงงงงงงงงงงงงงง มันเมพมากอย่างที่คุณผู้ชายเคยบรรยายความอร่อยให้ฟังจริงๆ ค่ะ ทริปนี้นาโอะกินหมูแดงเกือบทุกวันเลย (จมูกจะเป็นจมูกหมูละ) หมูแดงหลายเจ้าของฮ่องกงที่ว่าอร่อยๆ สู้ร้านนี้ไม่ได้เลยค่ะ นาโอะและคุณผู้ชายยกให้ร้านนี้เป็นร้านหมูแดงอันดับหนึ่งในดวงใจ (พูดแล้วน้ำลายจะไหล) เนื้อหมูแดงมีส่วนที่เป็นมันน้อย แต่เข้าใจว่า น้ำที่ทาหมูแดงตอนย่างคงจะมันมาก ทำให้ข้าวที่อยู่ใต้หมูแดงมันแพล่บเลยทีเดียว หมูนุ่มที่สุดในสามโลก ทำให้อดใจไม่ไหว ต้องสั่งหมูแดงเปล่าๆ มาอีกหนึ่งจานค่ะ

หมูแดง

เป็ดย่าง

เป็ดย่างในรูปด้านบนนาโอะไม่ได้สั่งหรอกค่ะ เป็นของสองสาวชาวมาเก๊าที่มาแชร์โต๊ะ นาโอะเลยขอเค้าถ่ายรูปเก็บมาให้คุณผู้อ่านแซ่บ อิอิ

โดยสรุป...ร้านนี้สุดยอดค่ะ สมคำร่ำลือและสมกับเป็นร้านที่ดังที่สุดในมาเก๊า ไม่อยากให้คุณผู้อ่านที่มีโอกาสไปเที่ยวมาเก๊าพลาดร้านนี้ด้วยประการทั้งปวงค่ะ ด้านล่างเป็นรูปเมนูแปะกำแพง


ร้าน Chan Kong Kei อยู่ด้านหลังของโรงแรม Grand Lisboa ค่ะ เพื่อนๆ ที่ข้ามเรือมาจากฮ่องกงแล้วอยากจะตรงมาชิมร้านนี้เลย แนะนำให้ขึ้น Shuttle Bus ของโรงแรม Grand Lisboa จากท่าเรือค่ะ จะได้ไม่เสียค่ารถเมล์ อิอิ

ดู Macau ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า


แล้วพบกันใหม่เอนทรี่หน้าค่ะ
nao~*

Wednesday 11 July 2012

Léon de Bruxelles


สวัสดีค่ะ เอนทรี่นี้พิมมิยะขอชวนชิมหอยแมลงภู่จากร้านยอดฮิตในปารีสอย่าง Léon de Bruxelles ที่คนไทยมักจะกล่าวขวัญถึงอยู่บ่อยๆ แม้ร้านนี้จะมีสาขาอยู่มากมายทั่วปารีส แต่ที่จริงแล้วต้นตำรับของเค้ามาจากร้าน Chez Léon ร้านขายหอยแมลงภู่ชื่อดังของกรุง Brussels ประเทศเบลเยียม (หรือ Bruxelles ในภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งเคยได้ยินมาว่าเจ้าของร้านที่ปารีสซื้อแฟรนไชส์มาจากร้าน Chez Léon แล้วมาดำเนินกิจการเอง หาได้เป็นเจ้าของเดียวกับร้านที่บรัสเซลส์ไม่ เมนูก็แตกต่างกันอีกด้วย

มีไทม์ไลน์ของร้านอยู่บนปกหลังของเมนู ไล่ตั้งแต่ร้านแม่ Chez Léon เรื่อยมาจนถึงสาขาล่าสุดของ Léon de Bruxelles ในอังกฤษ



หลังจากตาลายเลือกไม่ถูกกันอยู่นาน (ที่จริงบอกว่าอ่านไม่ออก น่าจะถูกต้องกว่า ฮ่า~) สุดท้ายเราก็ให้พนักงานรุ่นคุณป้าซึ่งหน้าตาไม่รับแขกอย่างแรงเป็นคนแนะนำเมนูหอยแมลงภู่ให้ แก๊งเราเลือกมาแค่ 3 อย่าง สำหรับ 5 คน เพราะ portion ของอาหารที่นี่ใหญ่มากจริงๆค่ะ แอบเหลือบมองโต๊ะรอบๆ เห็นคนท้องถิ่นที่นี่เหมากันคนละ 1 หม้อใหญ่ๆเลย *0* ไม่รู้ทานกันขนาดนั้นได้ยังไง
ก่อนพิมมิยะจะมาปารีสก็เคยอ่านเจอว่าที่นี่ไม่นิยมสั่งอาหารมาแชร์กัน แต่ปรากฎว่าทุกร้านก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคะ หากเรามา 5 คน แล้วจะสั่งอาหารแค่ 3 อย่างมาแบ่งกัน พวกเราก็ไม่ต้องทนฝืนทานจนจุก แถมยังเหลือพื้นที่ในท้องไว้เผื่อไปชิมขนมอร่อยๆอีกด้วยนะเออ

สลัด (5.60 €) รสชาติธรรมด๊าธรรมดา ทางร้านใช้มายองเนสมาทำเป็นน้ำสลัดชัดๆเลย จานนี้ไม่โดนค่ะ

หลังจากเซ็งกับสลัดไปแล้ว มาดูเมนูหอยกันดีกว่า หม้อแรกเป็น La Plancha aux Fruits de la Mer (19.10 €) รวมมิตรอาหารทะเลทั้งหอยแมลงภู่ ปลาหมึก และกุ้ง ซึ่งทางร้านก็คัดเอาแต่ของสดใหม่มาอบกับมะเขือเทศและพาร์สลีย์ ปรุงรสให้ออกเปรี้ยวและเค็มนิดๆ คล้ายซอสสปาเกตตี้ แซ่บอีหลีค่า~


Les moules á l’Escargot (14 €) กราแตงหอยแมลงภู่ หอยสดๆบวกกับชีสเยิ้มๆ อร่อยค่ะ อารมณ์หอยอบชีสบ้านเรา


มาถึงเมนูที่พิมมิยะชอบมากที่สุด Les moules á la Provençale (17.10 €) เป็นหอยแมลงภู่อบกับมะเขือเทศ ไวน์ขาว หอมแดง กระเทียม มะกอก และครีม รสชาติกลมกล่อม ไม่เลี่ยนอีกด้วย สำหรับทุกเมนูเค้าจะเสิร์ฟมาให้รับประทานกับ frites หรือมันทอดที่บ้านเราเรียกกันว่าเฟรนช์ฟรายส์นั่นเอง แต่ว่ามันทอดของร้านนี้ไม่กรอบค่ะ เลยโดนทุกคนในโต๊ะหมางเมิน หม่ำๆกันแต่หอย :D

หอยสดๆ กับซอสรสออกครีมมี่นิดๆ ชอบหม้อนี้จัง

สรุปแล้วอาหารของร้านนี้อร่อยใช้ได้เลยค่ะ โดยเฉพาะหอยของร้านนี้สดมาก ไม่มีหอยเก่าๆเละๆ หรือกรวดทรายปนมาให้รำคาญใจ เพียงแต่ตัวออกจะเล็กไปหน่อยเมื่อเทียบกับร้าน Chez Léon ที่บรัสเซลส์ และถึงแม้บริการจะไม่ค่อยน่าประทับใจก็ตาม แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นร้านที่ควรจะลองไปชิมดูซักครั้ง พิมมิยะคิดว่ารสชาติน่าจะถูกใจคนไทยอย่างเราๆอยู่นะคะ ขนาดหนุ่มเอ๋ที่ไม่ถูกโรคกับอาหารฝรั่งยังรีเควสท์ไปหม่ำหอยแมลงภู่ซะหลายมื้อเลย อิอิ


นี่ขนาดร้านแฟรนไชส์ยังอร่อยขนาดนี้ ถ้าเป็นร้านต้นตำรับอย่าง Chez Léon จะอร่อยขนาดไหน กรุณาอดใจรอก่อนนะคะ เอาไว้จบซีรีย์ปารีสแล้ว พิมมิยะจะชวนไปชิมอาหารในเบลเยียมต่อแน่นอนค่ะ :D

ピム宮 ~ pimmiya