สวัสดีค่ะ พิมมิยะมารายงานตัวพร้อมรีวิวร้านราเมงในดวงใจของเราทั้งสามคน นั่นก็คือ Ippudo Ramen นั่นเอง
หลังจากที่ได้ชิมราเมงร้านนี้เป็นครั้งแรกพร้อมนาโอะเมื่อหลายปีก่อน ก็ติดใจและบอกต่อๆกันเรื่อยมา ราเมงของร้านนี้เป็นสไตล์ Hakata ตามชื่อถิ่นกำเนิดที่จังหวัดฟุกุโอกะ น้ำซุปจะออกข้นๆมันๆที่เรียกว่าทงคทสึ (Tonkotsu) ซึ่งเป็นซุปที่เคี่ยวจากกระดูกหมูจนไขมันที่อยู่ในไขกระดูกละลายออกมา เรียกว่าอร่อยจนลืมกลัวอ้วนกันไปเลย แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้าใครไม่ชอบอาหารที่มันๆก็อาจจะไม่ค่อยปลื้มกับร้านนี้เท่าไหร่นะคะ
Ippudo มีสาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น เพื่อนคนญี่ปุ่นของพิมมิยะหลายคนไม่ว่าจะมีภูมิลำเนาจากเมืองไหน พอพูดถึงราเมง ทุกคนก็มักจะพร้อมใจกันพูดถึงร้านนี้
หน้าร้าน สาขา Sakae, Nagoya
สำหรับสาขาของ Ippudo ในประเทศญี่ปุ่น สามารถเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ของร้าน Ippudo จะลำบากหน่อยก็ตรงที่เว็บเค้ามีแต่ภาษาญี่ปุ่น ใช้กูเกิ้ลช่วยแปลก็พอจะอ่านรู้เรื่องอยู่ค่ะ แต่แผนที่ที่ในเว็บมีให้ก็ดันเป็นเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นซะอีกแน่ะ ถ้าจะหาแผนที่ร้านให้ง่ายขึ้นก็ก๊อปปี้ที่อยู่ร้านมาใส่กูเกิ้ลแม็พอีกที เช่น สาขา IPPUDO TAO FUKUOKA ก็ใส่ที่อยู่คือ 〒810-0001 福岡市中央区天神1-13-13 ลงไปในกูเกิ้ลแม็พ เท่านี้เราก็จะได้แผนที่ร้านเป็นภาษาอังกฤษปนญี่ปุ่นเอาไว้กันหลงทางแล้วค่ะ (กูเกิ้ลแม็พที่นั่นยังมีภ.ญี่ปุ่นปนซะเป็นส่วนใหญ่)
ร้านนี้ถึงแม้จะไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ แต่เมนูของเค้าก็มีรูปประกอบ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลเวลาสั่งอาหารนะคะ
ระหว่างนั่งรอราเมงมาเสิร์ฟ ก็สามารถตักผักดองและถั่วงอกคลุกน้ำมันงาของทางร้านมาทานเล่นไปพลางๆได้ไม่อั้น
ขอแนะนำถั่วงอกคลุกน้ำมันงาของร้านนี้ อร่อยแบบไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม
มาดูหน้าตาราเมงของเค้ากันดีกว่าค่ะ ชามแรก สุดยอดคลาสสิคตลอดกาล "Shiromaru" มาในชามสีขาวสมชื่อ (shiro = สีขาว) น้ำซุปรสชาติกลมกล่อม ไม่ค่อยรู้สึกว่ามันมากเท่าไหร่
ชามที่สอง "Akamaru" เสิร์ฟในชามสีแดงสมชื่อเหมือนกัน (aka= สีแดง) ชามนี้จะผสมมิโสะ (เต้าเจี้ยว) แบบเผ็ดลงไปด้วย ทำให้รสชาติเข้มข้นขึ้นมาอีกหน่อย แล้วก็มันกว่าชามแรกด้วย เวอร์ชันปกติของชามนี้จะไม่มีไข่ต้มให้นะคะ ในรูปข้างล่างพอดีอยากโด๊ปไข่เลยสั่งเพิ่ม
เมื่อก่อนพิมมิยะชอบน้องแดงมากค่ะ ตอนนี้ปันใจมาให้น้องขาวซะแล้ว สาเหตุเนื่องมาจาก.. (จะเล่าดีมั้ยเนี่ย) ชามนี้จะผสมงาดำบดด้วย เจ้านี่แหละค่ะตัวดี ทานแล้วไปติดตามซอกฟัน มีอยู่วันนึงไปทานพร้อมกับเพื่อนคนญี่ปุ่น ไอ้เราก็ยิ้มซะหวานเชียว ปรากฏว่ากลับถึงบ้านส่องกระจกดู.. งาบดสีดำๆติดฟันเพียบเลย!! พลาดจริงๆเลยค่ะวันนั้น เสียภาพลักษณ์หญิงไทยหมดเลย (ส่วนเพื่อนก็คงขำแทบตาย เหอๆ) T^T
เส้นบะหมี่ของทางร้านเป็นแบบเส้นกลมๆเล็กๆ ซึ่งเราสามารถเลือกระดับความนิ่ม-แข็งของเส้นได้ตั้งแต่
-แบบเส้นนิ่ม ทางร้านใช้คำว่า Futsuu ที่จริงคำว่า Futsuu แปลว่าธรรมดา ทั่วๆไปค่ะ
-แข็งปานกลาง ทางร้านใช้คำว่า Kata คำนี้ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าแข็ง ทางร้านเลยเอาคำนี้มาใช้กับเส้นแบบแข็งพอประมาณ
-แข็งที่สุดของทางร้าน (Barikata) -- อันนี้ของโปรดพิมมิยะค่ะ เคี้ยวแล้วหนึบๆดี แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นหนึบเหมือนสปาเกตตี้แบบเส้น al dante
ปกติแล้วถ้าเราไม่ระบุว่าจะเอาเส้นแบบไหน ก็จะได้แบบปานกลางมาเป็น default อยู่แล้ว ที่จริงแล้วถ้าใครพอจับใจความที่พนักงานพูดได้ เค้าจะพูดประมาณว่า Katamen ก็ให้พยักหน้าเออออไปกับเค้าละกันนะคะ สุดท้ายจะได้เส้นแข็งแบบปานกลางมาลองชิมค่ะ
ส่วนหมูชาชูของร้านก็นุ่มมาก แทบไม่ต้องเคี้ยว แล้วก็บางสาขาจะมีหมูตุ๋นก้อนๆ (Buta kakuni) ให้เลือกด้วย
บางสาขามีบะหมี่เกี๊ยวอีกตะหาก รสชาติจะสู้หมี่เกี๊ยวเมืองไทยได้หรือไม่ก็ต้องลองพิสูจน์กันเอาเองนะคะ
บะหมี่เกี๊ยวใส่หมูคาคุนิ ดีทั้งรสชาติและหน้าตา
นอกจาก Shiromaru กับ Akamaru แล้ว ก็ยังมีราเมงแบบอื่นด้วย เช่น
Karakamen น้ำซุปเป็นแบบ Shiromaru แต่ปรุงให้รสชาติเผ็ดจัดจ้านกว่า แถมมีให้เลือกความเผ็ดได้หลายระดับอีกด้วย แต่ที่ว่าเผ็ดสุดของเค้านี่นับว่าแค่เด็กๆของคนไทยเราเองค่ะ ชามนี้ไม่มีหมูชาชูกับไข่ต้มมาให้ แต่ใส่หมูสับผสมกับถั่วลิสงบดแทน จะว่าไปถ้าบีบมะนาวก็จะกลายเป็นบะหมี่ต้มยำบ้านเราแล้วแหละน้า~
Ippudo Karakamen อันนี้สั่งไข่ต้มมาใส่เพิ่มโปรตีนเองค่ะ
แล้วก็ เมนูน้องใหม่ล่าสุด Tsukemen บะหมี่แห้งจุ่มในน้ำซุปแบบเข้มข้น หอมกลิ่นปลาแห้ง ซึ่งพิมมิยะคิดว่าเค็มและมันเกินไป เลยไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่
Hakata Tsukemen
อีกหนึ่งเมนูที่แหวกแนวไปจากชามอื่น Hakata Chuuka soba ชื่อเป็นโซบะแต่ที่จริงแล้วเป็นโชยุราเมงค่ะ พิมมิยะแอบปลื้มตรงที่น้ำซุปไม่มันมาก รสชาติดีด้วย แถมใส่ผิวส้มลงไปทำให้กลิ่นหอมๆอีกต่างหาก
Hakata Chuuka soba
นอกจากนี้ทางร้านก็ยังมี Seasonal menu ให้เลือกชิมกันด้วย อย่างชามนี้เป็นเมนูหน้าร้อน ก็เป็นบะหมี่แห้งใส่ไข่ลวก ไม่ต้องมานั่งซดน้ำซุปร้อนๆให้เหงื่อโทรมกาย (อากาศร้อนๆ แล้วยังต้องมาซดราเมงร้อนๆอีก มันทรมานมากเลยนะคะนั่น!!) เมนูนี้ก็อร่อยไปอีกแบบ แต่โดยส่วนตัวยังไงก็เลิฟ Shiromaru กับ Akamaru ที่สุดแล้วแหละค่า
หลายปีที่ผ่านมาทาง Ippudo เองก็ได้ขยายสาขาไปยังประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็น New York, Singapore, Seoul รวมทั้ง Hong Kong ถ้าไม่มีโอกาสไปชิมถึงญี่ปุ่น ใกล้ๆบ้านเราอย่างสิงคโปร์หรือฮ่องกงก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
ขอตบท้ายด้วยรูปจาก Ippudo Singapore สาขา Mandarin Gallery รูปนี้ถ่ายเมื่อประมาณเกือบ 2 ปีที่แล้ว พิมมิยะไม่รู้สึกว่ารสชาติแตกต่างจากที่ญี่ปุ่นนะคะ อร่อยได้มาตรฐานอิปปุโดเหมือนเคย แต่แอบแพงนิดนึง มื้อนั้นพิมมิยะโดนเรียกค่าเสียหายไป 30 กว่าเหรียญ ประมาณ 700 บาท แถมน้ำชาก็ยังต้องจ่ายตังค์ด้วย ที่ญี่ปุ่นเซตราเมงบวกเกี๊ยวซ่าไม่ถึงพันเยน ถูกกว่าแยะเลย
ใครมีโอกาสได้ชิมดูแล้ว ขอเชิญแบ่งปันประสบการณ์ได้ที่นี่นะคะ :D
ピム宮 ~ pimmiya
ว้าย...อยากเห็นงาดำติดฟันพิมมิยะซังบ้าง คริคริ
ReplyDeleteนึกถึงตอนเค้ามาถามเลยว่าเอาเส้นแบบไหน โอ๊ย ยากเกิน
ReplyDeleteปีนี้จะไปหาseasonal menuกินบ้าง